หุ้น PRM ปิดเทรดวันแรกที่ 11.40 บาท เพิ่มขึ้น 3.40 บาท (+42.50%) จากราคาขาย IPO ที่ 8.00 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 9,001.94 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 10.80 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 11.40 บาท และราคาลงต่ำสุด 10.20 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของบมจ.พริมา มารีน (PRM) ด้วยวิธี PER Multiple โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ย PER ของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจขนส่งใกล้เคียงกับบริษัทที่ PER 20X ดังนั้น มูลค่าที่เหมาะสมของ PRM สำหรับปี 2561F อยู่ที่ 10.40 บาท ซึ่งคิดเป็น PEG เพียง 0.55 เท่า จากมีอัตราการเติบโตผลประกอบการ 2y-CAGR (2561-2562F) ที่ 36%
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1,005 ล้านบาทในปี 2560F และ 1,306 ล้านบาท ในปี 2561F เนื่องมาจากรายได้ที่คาดจะเติบโตตามการขยายกองเรือในธุรกิจขนส่ง ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งต่อปีเพิ่มขึ้นจาก 5,607 ล้านลิตรเป็น 26,660 ล้านลิตรในปี 2562F รวมทั้งการขยายเรือในธุรกิจต่างๆ ของบริษัทจะเข้ามาช่วยเพิ่มรายได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากสัญญาส่วนใหญ่ที่บริษัทบริการลูกค้าเป็นสัญญาที่มีระยะยาว เป็นการลดความเสี่ยงในการขาดหายของรายได้ ในขณะที่คาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิไว้ในระดับสูงที่ 30% และ 20% ได้ จากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีรวมทั้งการบริหารการเดินเรือที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
บริษัทมีแผนเพิ่มการเติบโตทั้งในแง่ของรายได้และอัตรากำไร ดังนี้ 1) ธุรกิจเรือขนส่ง มีกองเรือขนส่งน้ำมันของบริษัทเอง 13 ลำ ด้วยกำลังระวางบรรทุก 251,183 DWT และจากความต้องการในการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาค บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มเรือขึ้นทั้งจากการต่อเรือใหม่ 7 ลำ และสั่งซื้อเรือมือสอง 16 ลำ จะส่งผลให้ปริมาณการขนส่งของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5,607 ล้านลิตรต่อปี เป็นประมาณ 26,660 ล้านลิตรต่อปีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า 2) ธุรกิจ FSU ซึ่งให้บริการเรือขนส่งและจัดเก็บ มีแผนที่จะเพิ่มเรือจาก 7 ลำในปีนี้อีก 4 ลำซึ่งจะทยอยส่งมอบในอีก 3 ปีข้างหน้า และ 3) จากบริษัทคาดการณ์ธุรกิจ FSO น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาใน 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มเรือจากเดิม 2 ลำในปัจจุบัน เป็น 4 ลำในปี 2561 เพื่อรองรับการเติบโตของการขุดเจาะน้ำมันดิบ
PRM เป็นผู้ให้บริการขนส่ง และจัดเก็บผลิตภัณฑ์น้ำมันทางเรือให้กับลูกค้าซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมัน ซึ่งมีความแข็งแกร่งในธุรกิจจาก 1) อยู่ใน supply chain ของอุตสาหกรรม oil & chemical ทั้งการให้บริการจัดเก็บ ขนส่งน้ำมัน 2) ผู้ขนส่งน้ำมันทางเรือรายใหญ่ที่สุดในไทย ด้วยเรือจำนวน 13 ลำ และน้ำหนักบรรทุกรวม 251,183 DWT 3) เติบโตตามปริมาณการใช้น้ำมันของไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 4) โอกาสในการขยายธุรกิจ FSU ตามความต้องการของลูกค้า และ 5) มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจขนส่งกว่า 30 ปี รวมทั้งมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง 6) บริษัทมีความสามารถบริหารต้นทุนที่ดี ทำให้มีอัตรากำไรที่สูง