โบรกฯเชียร์"ซื้อ"HMPRO เล็งยอดขาย SSSG ฟื้นใน H2/60 พร้อมคุมค่าใช้จ่ายด้วยการปรับลดขนาดขยายสาขาเป็น "HMPRO S"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 18, 2017 15:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เล็งยอดขายของสาขาเดิม same store sales growth (SSSG) ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/60) หลังเริ่มเห็นสัญญาณกำลังซื้อฟื้นจากภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นขนาดที่เล็กลง “HMPRO S” และเกาะไปตาม Community mall ที่อยู่ในพื้นที่น่าสนใจ ซึ่งจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายในการลงทุน

อีกทั้งเน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงจาก Good เป็น Better ในประเภท Private Brand ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าปกติ 10-15% โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ดังกล่าวราว 18% ของรายได้รวม ซึ่งตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวให้เพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ในอนาคต

ล่าสุดเมื่อเวลา 15.02 น.หุ้น HMPRO อยู่ที่ 11 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนี SET พุ่ง 13.63%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          หยวนต้า (ประเทสไทย)         ซื้อเก็งกำไร               12.30
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)     ซื้อ                   12.20
          เคทีบี(ประเทศไทย)               ซื้อ                   11.50
          เคจีไอ(ประเทศไทย)              ซื้อ                   11.90

นายอธิภู วิศวเวช นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดครึ่งปีหลังนี้ยอดขายของสาขาเดิม (SSSG) เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีผลติดลบน้อยลง ซึ่งมอง HMPRO ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/60 มาแล้ว และจะทยอยฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง (H2/60)

ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังนี้ก็มีแผนการขยายสาขาอีกประมาณ 4 สาขา แบ่งเป็น แบรนด์โฮมโปร 1-2 สาขา, และสาขาโฮมโปรในประเทศมาเลเซียเพิ่มเติมอีก วางงบลงทุนทั้งปีไว้ที่ประมาณ 4 พันล้านบาท เน้นขยายสาขาในรูปแบบ HomePro S เนื่องจากเป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายในการลงทุน เพื่อรอกำลังซื้อที่จะทยอยฟื้นตัว คาดกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตราว 11% จากการบริหารรูปแบบสาขา และส่วนผสม housebrand ที่คาดว่าจะมากขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของยอดขายสาขาเดิม จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวดีขึ้น

"เศรษฐกิจได้ฟื้นตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวดีขึ้น โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 3/60 ซึ่งยอดขายเริ่มกลับมาทรงตัว จากเดิมที่ติดลบไปค่อนข้างมาก และในไตรมาส 4/60 ก็เชื่อว่าหลังจากผ่านพ้นฤดูฝนไปแล้ว และผ่านช่วงของการไวอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9 การบริโภคก็น่าจะกลับมาดีขึ้น จากเป็นช่วงของการเข้าสู่เทศกาลวันหยุดยาว"นายอธิภู กล่าว

ด้าน น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงค์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยังคงประมาณการกำไรปีนี้ของ HMPRO เติบโต 11% เนื่องจากอัตรากำไรสูงขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ส่วนยอดขายสาขาเดิมในปีนี้มีแนวโน้มต่ำกว่าคาด เนื่องจากกำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาในต่างจังหวัด

พร้อมกันนี้ บริษัทมีการปรับกลยุทธ์การเปิดสาขาเป็นขนาดเล็ก (HomePro S) และปรับแผนการเปิดสาขา Mega Home ปีนี้จาก 3-4 สาขา เหลือ 1 สาขา โดย HomePro S เริ่มเปิดสาขาที่เกตเวย์ เอกมัย ก็ได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีจำนวนใบเสร็จและยอดขายต่อใบเสร็จมากกว่าสาขา Home Living ทำให้บริษัทจะมีการเปลี่ยนสาขา Home Living ที่ลาดกระบังและ Terminal 21 โคราช มาเป็น HomePro S ซึ่งมีสินค้าที่หลากหลายมากกว่า ในขณะที่แผนเปิดสาขามาเลเซียปรับเพิ่มจาก 2-3 สาขา เป็น 3-4 สาขาในปีนี้ ซึ่งจะทำให้มีสาขามาเลเซียรวมเป็น 6 สาขา ณ สิ้นปี คาดส่งผลให้ผลประกอบการที่มาเลเซียถึงจุดคุ้มทุนได้ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

ส่วน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์มองครึ่งปีหลัง (H2/60) เริ่มเห็นสัญญาณกำลังซื้อฟื้นตัวดีขึ้น หลังผลผลิตภาคเกษตรกรรมดีขึ้นจากฝนที่มาเร็วกว่าปกติ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น ทำให้เชื่อว่า SSSG ของ HMPRO จะเริ่มเห็นการฟื้นตัว YoY ตั้งแต่ไตรมาส 3/60 และจะเด่นชัดมากขึ้นในไตรมาส 4/60 จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และผลของฤดูกาล โดยคาดว่า SSSG ทั้งปี 60 จะติดลบเล็กน้อยเป็น 2.2% และจะพลิกกลับมาเป็นบวก 2.5% ในปี 61 จากยอดขายกลับมาฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นขนาดที่เล็กลง “HMPRO S” ขนาด 2 พัน ตร.ม.และเกาะไปตาม Community mall ที่อยู่ในพื้นที่น่าสนใจ ซึ่งจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น เช่น GATEWAY เอกมัยเป็นที่แรก และภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา คือ พาซิโอ ลาดกระบัง และ เทอร์มินอล 21 โคราช

นอกจากนี้ บริษัทได้เน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงจาก Good เป็น Better ในประเภท Private Brand ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าปกติ 10-15% โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ดังกล่าวราว 18% ของรายได้รวม ซึ่งตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวให้เพิ่มขึ้นเป็น 20-25% ในอนาคต และคาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 60 จะขยับขึ้นเป็น 26.3% จากปีก่อนที่ 25.5% ขณะเดียวกันบริษัทก็มีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิปี 60 จะเพิ่มขึ้นเป็น 8% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 6-7%

อย่างไรก็ตาม คาดรายได้ปี 60 จะอยู่ที่ 5.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะทำได้ 4.7 พันล้านบาท เป็นผลจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ การปรับกลยุทธ์การเปิดสาขา และเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก House Brand และ Private Brand มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร

สำหรับการขยายสาขาในต่างประเทศ ภายใต้ชื่อ Home Product Center (Malaysia) ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่ประเทศมาเลเซีย ได้เปิดดำเนินการไปแล้ว 2 แห่ง คือ ศูนย์การค้า ไอโอไอ ซิตี้มอลล์ และ ศูนย์การค้า เดอะซัมมิท ยูเอสเจ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยบริษัทตั้งเป้าขยายการลงทุนในประเทศมาเลเซีย ในปีนี้เป็น 6 สาขา จากปัจจุบันที่มี 4 สาขา และตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้กว่า 40 แห่งในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ