นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ปรธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) คาดว่าแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรกที่ทำยอดขายได้ 283.36 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายผลิตภัณฑ์กาว Solvent ในประเทศกลับมาฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ในครึ่งปีแรกปรับตัวลดลงจากการชะลอการสั่งซื้อ เนื่องจากมีลูกค้าบางส่วนย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ แต่ก็มีลูกค้ากลุ่มนี้ก็ได้สั่งซื้อผลิตภัณฑ์กาว Solvent ของบริษัทเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับ บริษัทได้ลูกค้ารายใหม่ในประเทศเพิ่มเข้ามาชดเชยลูกค้าเก่าที่ย้ายฐานการผลิตไป
ขณะเดียวกัน บริษัทยังเตรียมขยายไลน์สินค้ากาวไปในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้เริ่มเข้าไปเจาะกลุ่มในลูกค้าดังกล่าวแล้วและเตรียมจะรับออเดอรืใหม่เข้ามาในเร็วๆนี้ อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4/60 บริษัทยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์กาวใหม่ในกลุ่ม Water base และ Hot melt เข้ามาเสริมการผลักดันยอดขาย และขยายกลุ่มลูกค้าให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น
รวมไปถึงการร่วมออกบูธในงาน PACK PRINT INTERNATIONAL 2017 ในวันที่ 20-23 ก.ย. 60 ที่ไบเทค บางนา เพื่อเป็นการแนะนำผลิตภัณฑ์และสร้างความรู้จักของลูกค้าให้มากขึ้น
บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้บริษัทสามารถขยายการเติบโตได้ โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์กาวในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีการเปิดตลาดใหม่ เช่น ออสเตรเลีย ที่บริษัทใกล้ได้ข้อสรุปกับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์กาวประเภท Hot melt
ในปีนี้บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจะอยู่ที่ 30-40% จากปีก่อนที่ 30% พร้อมกับมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 560.79 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนเครื่องจักรบริษัทจะมีการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อทดแทนเครื่องจักรเดิม และขยายไลน์การผลิตใหม่เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเฟอร์นิเจอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ภายในปีนี้ โดยมีกำลังการผลิตกาวทั้งหมด 9,120 ตัน/ปี โดยปัจจุบันใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70-80%
นอกจากนี้ บริษัทยังมองไปถึงการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าในกลุ่มดังกล่าว และคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนภายในปลายปีนี้ โดยบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่อยุ่ใน 6 อุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์และฉลาก กลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และงานไม้ กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนอกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมหนังและรองเท้า โดยผลิตภัณฑ์กาวที่มีแนวโน้มเติบโตได้มากที่สุด คือ กลุ่มกาว Hot melt ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.98% ต่อปี ไปจนถึงปี 63
สำหรับแผนงาน 5 ปี ของบริษัทคาดว่าจะเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่อพิจารณาแผนงานดังกล่าวในช่วงปลายปีนี้ โดยส่วนหนึ่งจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทมีความสนใจ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไบโอ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานและก๊าซ เพราะบริษัทมีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการลงทุนเป็นไปได้ทั้งรุปแบบของการลงทุนเอง และการร่วมทุนกับพันธมิตร