CPL แตกไลน์รับผลิตหนังกระเป๋าแบรนด์เนม คาดเริ่มผลิต Q4/60, สรุปลูกค้าใหม่กลุ่มผู้ผลิตรองเท้าปลายปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 19, 2017 11:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพีแอล กรุ๊ป (CPL) ผู้นำอุตสาหกรรมฟอกหนังสำเร็จรูปรายใหญ่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้บรรลุข้อตกลงที่จะผลิตหนังสำหรับกระเป๋าให้กับสินค้าแบรนด์ดังระดับโลก และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในไตรมาส 4/60 ด้วยออร์เดอร์เริ่มต้นที่ 1 ล้านฟุตสำหรับฤดูกาลนี้ หลังจากบริษัทได้เดินหน้าพัฒนาด้านการผลิตให้มีความหลากหลาย โดยก่อนหน้านี้ได้แตกไลน์รับผลิตหนังหมูฟอกสำเร็จรูป ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักร

“ก่อนหน้านี้ CPL เคยได้รับการติดต่อจากผู้ผลิตกระเป๋าแบรนด์เนม ที่เชื่อมั่นในคุณภาพการฟอกหนังของ CPL แต่เรายังไม่พร้อม โดยเฉพาะในด้านของเทคนิค อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าเทรนด์หลัก โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นทั้งรองเท้าและกระเป๋าว่ามีแนวโน้มเติบโตตามเศรษฐกิจของโลกอยู่แล้ว ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา เราจึงเดินหน้าพัฒนาคุณภาพ มีการนำเครื่องจักรและเทคนิคใหม่ ๆ มาใช้และทดลองการฟอกหนังสำหรับผลิตกระเป๋าจนมีคุณภาพที่น่าพอใจ เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราจึงตัดสินใจขยายไลน์จากการฟอกหนังสำหรับผลิตรองเท้าไปสู่การฟอกหนังสำหรับผลิตกระเป๋า ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของบริษัทได้เป็นอย่างดี"นายภูวสิษฏ์ กล่าว

นายภูวสิษฏ์ กล่าวว่า บริษัทยังได้เดินหน้าขยายช่องทางการตลาดไปยังผู้ผลิตรองเท้าแบรนด์ใหม่ นอกเหนือจากคู่ค้าเดิมที่ยังคงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทั้งนี้ เพื่อขยายโอกาสในการขายและผลิตสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มรับออร์เดอร์ได้ไม่เกินกลางปีหน้า ทั้งนี้ ปีนี้นับเป็นปีที่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนสูง เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างการสร้างโรงงานใหม่เพื่อผลิตหนังหมูฟอกสำเร็จรูป รวมถึงมีการลงทุนด้านเครื่องจักร เทคโนโลยี รวมถึงงานวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจฟอกหนัง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเชื่อมั่นว่า จะสามารถรักษาเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ได้

นายภูวสิษฏ์ กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทมีทั้งฝั่งนำเข้าวัตถุดิบและฝั่งส่งออก แต่ก็ได้จับตาสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากว่าบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก อาจจะถึงจุดที่บริษัทตัดสินใจทยอยสต็อกวัตถุดิบเพิ่ม เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ