นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายบุกชิงส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในสหรัฐภายใน 3-5 ปี หลังจากประสบความสำเร็จในการทำตลาดในอังกฤษ ขณะที่เดินหน้าขยายตลาดในจีนที่กำลังไปได้สวย เนื่องจากรายได้จากต่างประเทศเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตได้ในปีนี้
"หลังจากที่บริษัทฯประสบความสำเร็จในตลาดประเทศอังกฤษและจีนแล้วเชื่อว่าจะทำให้แบรนด์ของบริษัทเป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น จึงมีความสนใจที่จะเข้าทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในสหรัฐที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงและมีเจ้าตลาดอยู่แล้วภายใน 3-5 ปีข้างหน้า"นายเสถียร กล่าว
นายเสถียร กล่าวว่า จากการที่บริษัทเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ทำให้ยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังเติบโตขึ้นมาก โดยปัจจุบันมีจุดจำหน่ายทั้งหมด 1 หมื่นจุดทั่วประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ เชื่อว่าหลังจากที่รัฐบาลอังกฤษมีการปรับเพิ่มภาษีน้ำตาล (Sugar Tax) ภายในเดือน เม.ย.61 จะเป็นปัจจัยบวกให้แก่บริษัทเนื่องจากสินค้าของคู่แข่งที่มีปริมาณน้ำตาลสูงจำเป็นจะต้องปรับราคาขึ้น ในขณะที่สินค้าของบริษัทมีปริมาณน้ำตาลไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดต้องเสียภาษีดังกล่าว
สำหรับตลาดในประเทศจีนนั้น บริษัทคาดว่าจะมียอดขายขึ้นไปแตะระดับ 200 ล้านกระป๋องได้ในช่วงปลายปีนี้ ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 500 ล้านกระป๋องภายใน 3 ปีจากนี้ หรือภายในปี 62 โดยจะเน้นการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง และจะมีการทำแคมเปญใหญ่เพื่อสร้างความรับรู้แบรนด์"คาราบาวแดง"มากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสัดส่วนการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังในจีนจะอยู่ที่ 50% ของโลก ใน 2-3 ปีข้างหน้า หรือมียอดขายรวมเพิ่มเป็นราว 1 หมื่นล้านประป๋องต่อปี โดยปัจจุบันบริษัทมีจุดจำหน่ายทั้งหมด 1.9 แสนจุด ใน 30 มณฑล
นายเสถียร กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการลงทุนส่วนตัวร่วมกับนายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว รวมทั้งพันธมิตรท้องถิ่นในโรงงานรับจ้างผลิต (OEM) ในประเทศจีนเพิ่มเติมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างโรงงานอื่นผลิต โดยจะไม่นำ CBG เข้าไปลงทุนเอง เนื่องจากประเมินว่าการลงทุนดังกล่าวจะมีผลขาดทุนไปอีกราว 3-4 ปี และจะมีผลขาดทุนในปีแรกราว 3 พันล้านบาท
สำหรับผลประกอบการของ CBG ในปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิจะดีกว่าปีก่อนแน่นอน โดยในปี 59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,489.76 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามความมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมาย 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 10,112.15 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทได้บุกตลาดจีนและอังกฤษอย่างหนัก ทำให้ยอดขายในต่างประเทศเติบโตราว 30% จากปีก่อน ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปีก่อนอยู่ที่ 34%
ขณะที่ตลาดในประเทศไทยเองมีการเติบโตได้ไม่มากนักเพียง 10% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตามบริษัทได้เน้นการเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ และกระจายสินค้าไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้ดีขึ้นได้
"ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเราจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากในการทำการตลาดอย่างหนัก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯก็เติบโตได้มากเช่นกัน ทำให้ปีนี้เราเชื่อมั่นว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และกำไรสุทธิก็เติบโตขึ้นตามการเติบโตของรายได้เช่นกัน"นายเสถียร กล่าว