นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวานนี้ ที่มีมติให้เริ่มดำเนินการลดขนาดงบดุลในเดือนต.ค.ตามคาด ในขณะเดียวกันยังย้ำว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปี 60 และปรับขึ้นอีก 3 ครั้งปี 61 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond Yield) และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มกลับมาฟื้นตัวหรือแข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้ Bond Yield ของสหรัฐ ที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องมาตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 51 มีส่วนสำคัญในการผลักดันตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้นมาซื้อขายที่ระดับ Valuation ที่สูงกว่าในอดีต ดังนั้น ทิศทางของ Bond Yield สหรัฐ ในระยะข้างหน้า จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นต่อไป
ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อ Bond Yield ต่อไป ได้แก่ 1) การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของสหรัฐ ในวันที่ 13 ต.ค. ซึ่งหากเงินเฟ้อยังส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว ก็จะส่งผลให้ตลาดประเมินโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น และ 2) การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 26 ต.ค. ซึ่งเราคาดว่า ECB จะประกาศลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งจะส่งผลให้ Bond yield ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
“Bond Yield สหรัฐอเมริกาที่ทยอยเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.2% อาจยังไม่ส่งผลกระทบต่อ Valuation ของตลาดหุ้นมากนัก แต่เราประเมินว่า หาก Bond Yield ของสหรัฐ เพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าระดับ 2.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปี 57 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเริ่มลดลง และส่งผลให้เงินเฟ้อลดลงมาทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ก็อาจส่งผลกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน" นายคมศร กล่าว
นายคมศร กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม Bond Yield สหรัฐ ที่มีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้น ประกอบกับความคาดหวังต่อนโยบายปฏิรูปภาษีที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสภาคองเกรส ในช่วงไตรมาส 4 นี้ จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังจากที่อ่อนค่าลงมาต่อเนื่องในปี 60
ดังนั้น จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และอาจซื้อเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลงมาแรงก่อนหน้านี้ และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน และโลหะอุตสาหกรรม ซึ่งจะถูกกดดันจากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า