บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) (TOA) กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในช่วง 22-24 บาท/หุ้น และคาดว่าจะประกาศราคาขายสุดท้ายในวันที่ 2 ต.ค. โดยจะเปิดให้นักลงทุนไปจองซื้อ 27-29 ก.ย.นี้ และนักลงทุนสถาบัน 2-4 ต.ค. จากนั้นคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในวันที่ 10 ต.ค.60
ทั้งนี้ TOA แต่งตั้งให้ บล.บัวหลวง และ บล.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และแต่งตั้ง บล.ทิสโก้, บล.ธนชาต, บล.เคที ซีมิโก้ และ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย
ปัจจุบัน TOA มีทุนจดทะเบียน 2,029 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,029 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 1,775 ล้านหุ้น
ขณะที่บริษัทจะเสนอขายหุ้นไม่เกิน 507.6 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทจำนวนไม่เกิน 254 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ บริษัท ไวแบรนท์ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 253.6 ล้านหุ้น รวมคิดเป็นไม่เกิน 25.02% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากที่นำเสนอข้อมูลแผนการดำเนินธุรกิจของ TOA ต่อนักลงทุนสถาบัน พบว่านักลงทุนมีความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจและอนาคตที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
โดยบริษัทได้เข้าทำสัญญาลงทุนในหุ้น (Cornerstone Placing Agreement) กับนักลงทุนในประเทศไทยและต่างประเทศ (Cornerstone Investors) จำนวน 7 ราย ได้แก่ บลจ. กสิกรไทย บลจ. บัวหลวง AIA Company Limited, Thailand Branch บลจ. ไทยพาณิชย์ บลจ. อเบอร์ดีน และกองทุนที่ Hillhouse Capital Management Ltd. มีอำนาจในการจัดการลงทุนจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ Gaoling Fund, L.P. และ YHG Investment, L.P. เป็นจำนวนรวม 175 ล้านหุ้น
ขณะที่กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO เบื้องต้นของ TOA ที่ราคา 22-24 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อ IPO ที่ราคาจองซื้อสูงสุดหรือที่ราคา 24 บาทต่อหุ้น หลังจากนี้จะร่วมกันพิจารณาราคาและจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการซื้อเข้ามา (Book Building) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายในวันที่ 2 ต.ค.
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TOA กล่าวว่า TOA เป็นผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ที่สุดในไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขาย โดยข้อมูลจาก Frost & Sullivan (S) Pte. Ltd. ในปี 59 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในไทยประมาณ 48.7% และยังมีส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประมาณ 13%
ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร (Decorative Paint and Coating Products) รวมประมาณ 9,168 หน่วยเก็บสินค้า (SKUs) ภายใต้ตราสินค้า 114 ตราสินค้า มีรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้คิดเป็น 68.9% ของรายได้จากการขายสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.60 และ 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (Non-Decorative Paint and Coating Products) รวมประมาณ 2,775 SKUs ภายใต้ตราสินค้า 89 ตราสินค้า ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีรายได้คิดเป็น 27.5%
บริษัทมีช่องทางจำหน่ายหลัก ประกอบด้วย ช่องทางผู้ค้าปลีกประมาณ 6,217 ราย ใน 77 จังหวัด ประมาณ 790 อำเภอทั่วประเทศ และมีผู้ค้าปลีกใน AEC (ไม่รวมประเทศไทย) อีกประมาณ 1,854 ราย ช่องทางธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และช่องทางอื่นๆ อาทิ งานโครงการ ส่งออก เป็นต้น รวมถึงมีเครื่องผสมสีอัตโนมัติ (Auto Tinting Machine) ที่ติดตั้งในร้านค้าปลีกและธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยจำนวน 4,140 เครื่อง และใน AEC อีก 1,791 เครื่อง
TOA มีโรงงานผลิต 8 แห่ง ใน 6 ประเทศ อยู่ในไทย 3 แห่ง และต่างประเทศ 5 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม ลาว มาเลเซีย เมียนมา และกัมพูชา กำลังการผลิตรวม 88 ล้านแกลลอน/ปี ไม่รวมโรงงานผลิตในกัมพูชาภายใต้ TOA Skim Coat (Cambodia) Co., Ltd. ซึ่งเปิดไปเมื่อเดือน มิ.ย.60
นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TOA กล่าวว่า ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนอยู่ที่ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศอีก 3 แห่ง ใช้เงินลงทุนรวม 1,184 ล้านบาท ได้แก่ อินโดนีเซีย คาดว่าจะเริ่มผลิตไตรมาส 2/61 เมียนมา ซึ่งจะย้ายโรงงานจากย่างกุ้งไปอยู่ที่เขตเศรษฐกิจติละวา จะเปิดในไตรมาส 3/61 และกัมพูชา อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและคาดว่าจะเปิดในไตรมาส 4/61
เมื่อโรงงานผลิตสีทั้ง 3 แห่งก่อสร้างแล้วเสร็จและดำเนินการตามแผนปิดโรงงานย่างกุ้ง ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 62 TOA จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102.5 ล้านแกลลอน/ปี เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 14.5 ล้านแกลลอน/ปี ตอบสนองความต้องการใช้สีในภูมิภาคอาเซียนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวใน AEC
และคาดว่าตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป TOA จะขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวใน AEC หลังจากมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นที่รองรับความต้องการใช้ของลูกค้าในภูมิภาคได้อย่างพอเพียง และคาดว่าจะส่งผลทำให้สัดส่วนยอดขายในต่างประเทศเพิ่มเป็น 28% จากปัจจุบันอยู่ที่ 14%
ขณที่ยอดขายรวมของบริษัทในปี 60 คาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย หรือมาอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย 1.62 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ยังมีผลกระทบจากบรรยากาศภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้น มีผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม และกำลังซื้อในประเทศชะลอตัว โดยบริษัทมีสัดส่วนยอดขายหลักจากในประเทศ 86% และมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งที่ 48.7% ทำให้ปัจจัยในประเทศที่เกิดขึ้นส่งผลกดดันต่อยอดขายของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่ายอดขายในปี 61 จะกลับมาเติบโตได้ราว 7% จากปีนี้ เนื่องจากบริษัทจะรุกการขายในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเมียนมาที่มองเห็นแนวโน้มการเติบโตของยอดขายที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของทั้ง 2 ประเทศ ทำให้มีความต้องการใช้สีทางอาคารเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทยังคงพัฒนาช่องการขายและขยายเครื่อข่ายในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศหลักใน AEC ที่มียอดขายมากที่สุด ให้มีการเติบโตที่มากขึ้นด้วย