นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งแคบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา จะมีเพียงก็ตัวเลขการส่งออกเดือนส.ค.ของไทยที่ออกมาดี และความคาดหวังว่ารัฐบาลจะนำร่างพ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เข้าสู่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ในวันที่ 28 ก.ย.นี้
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยให้ติดตามสถานการณ์ในเกาหลีเหนือ พร้อมให้แนวรับที่ 1,665 จุด ส่วนแนวต้าน 1,680 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,359.23 จุด ลดลง 53.36 จุด (-0.24%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,422.69 จุด ลดลง 33.35 จุด (-0.52%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,500.60 จุด ลดลง 7.64 จุด (-0.30%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 66.13 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.65 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 160.50 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 6.79 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 2.15 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.31 จุด
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเอาวัล มุฮัรรอม (มาอัล ฮิจเราะห์)
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 ก.ย.60) 1,670.49 จุด ลดลง 0.16 จุด (-0.01%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 122.96 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ก.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 ก.ย.60) ปิดที่ระดับ 50.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 ก.ย.60) ที่ 8.12 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.11 แข็งค่าหลังดอลล์อ่อนจากแรงขายทำกำไร มองกรอบวันนี้ 33.05-33.15
- พาณิชย์เผยตัวเลขส่งออก ส.ค.โต 13.2% สูงสุดรอบ 55 เดือน รวม 8 เดือนแรกของปี 60 ขยายตัว 8.9% สูงสุดรอบ 6 ปี เผยเศรษฐกิจโลกฟื้นดันตลาดหลักสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น อาเซียน โตทุกตลาด คาดส่งออกทั้งปีได้ตามเป้า 7% จับตา 10 สินค้าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านโครงสร้างอุตสาหกรรม มีอนาคต และปรับตัวไม่ทันเทคโนโลยี หวั่นกระทบส่งออกระยะถัดไป
- ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) มีกำหนดหารือร่วมกับวิปรัฐบาลเพื่อเตรียมนำร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาในวาระที่ 1 คาดว่า สนช.จะเห็นชอบและประกาศให้มีผลบังคับใช้ได้ภายในปีนี้
- องค์การการค้าโลก (WTO) ปรับขึ้นคาดการณ์การค้าโลกปีนี้เป็นเติบโต 3.6% จากคาดการณ์เดิมในเดือน เม.ย. ที่เติบโต 2.4% โดยเป็นผลจากการค้าในเอเชียและการนำเข้าในอเมริกาเหนือที่ฟื้นตัว รวมถึงฐานของปีก่อนหน้าที่ขยายตัวต่ำเพียง 1.3% อย่างไรก็ดี คาดว่าการค้าโลกในปี 2561 จะชะลอตัวลงเล็กน้อยอยู่ที่เติบโต 3.2%
- ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนก.ย. 2560 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 124.13 จุด เพิ่มขึ้น 19.34% จากเดือนก่อนที่อยู่ระดับปานกลางที่ 104.13 จุด อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
- ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของธนาคารและสถาบันการเงินไทย 6 แห่งที่เป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยธนาคารและสถาบันการเงินที่ได้รับการคงอันดับเครดิตภายในประเทศ ที่ "AAA(tha)" แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) หรือ BOCT ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) หรือ ICBCT บริษัท ลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) หรือ ICBCT
*หุ้นเด่นวันนี้
- SUPER-W4 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. ซุปเปอร์บล๊อก (SUPER)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 5,469,683,077 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.50 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (1 ก.ย. 60) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 พ.ย.60 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 31 ส.ค.63
- BANPU (ธนชาต) "ซื้อ"เป้า 25 บาท มองบวกมากขึ้นต่อราคาถ่านหิน เพราะคาดว่าจีนจะยังคงรักษาราคาถ่านหินให้อยู่ในระดับสูงท่ามกลางการผลักดันพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม BANPU ยังคงน่าสนใจที่ PE ที่ 7-8 เท่า ในปี 2561-2562 และให้ yield ที่ 6%+ โดยมองว่ากำไรที่แข็งแกร่งใน 2H60F จะเป็นปัจจัยหลักหนุนราคาหุ้น
- MTLS (ไอร่า) เป้า 39 บาท คาดกำไรสุทธิปี 60 เพิ่มขึ้น 61% อยู่ที่ 2,354 ล้านบาท หรือ 1.11 บาท/หุ้น ภายใต้ผลประกอบการ 2H/60 ดีกว่า 1H/60 หลังได้รับปัจจัยหนุนจาก New Loans คาดอยู่ที่ 55,000 ล้านบาท (1H/60 ทำได้แล้ว 26,000 ล้านบาท) และได้ประโยชน์จากการประหยัดขนาดของสาขาที่เปิดเมื่อปี 59 จำนวน 724 สาขา ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับแต่ก่อตั้งบริษัท และเริ่มรับรู้รายได้เต็มปี ขณะที่คาด OPEX ปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก โดยคาด Cost to Income ที่ 41%
- ECL (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ทยอยสะสม" เป้า 5.00 บาท Upside risk ที่ยังไม่รวมในประมาณการ คือ (1) Cost saving (ต้นทุนการเงินที่ต่ำกว่า) จากการได้มาซึ่งพันธมิตรญี่ปุ่น (PFS) ซึ่งได้ผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ (2) คือ การรับประกันชิ้นส่วนรถยนต์มือ 2 ที่ลูกค้าซื้อ (เป็นเจ้าแรกของไทย) และธุรกิจศูนย์ซ่อมรถครบวงจร ซึ่งจะสามารถปิดจุดอ่อนของธุรกิจได้เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรม เริ่มเห็นผล 4Q60 พร้อมคาดกำไรปี 2560-62 เฉลี่ยเติบโตสูงกว่า 60% เป็น 272 ล้านบาท และ 354 ล้านบาท ตามลำดับ