บมจ. ชโย กรุ๊ป (CHAYO) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) version แรก ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 19 ก.ย.60 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.เออีซี เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อประมูลซื้อกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน, ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน
CHAYO และบริษัทย่อย ซึ่งประกอบด้วย บริษัท บริหารสินทรัพย์ ชโย จำกัด (Chayo AMC) และ บริษัท ชโย คอลเซ็นเตอร์ จำกัด (Chayo Call Center) ดำเนินธุรกิจหลักตามลักษณะการดำเนินงาน 3 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ ธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า
ปัจจุบันบริษัทมีสัญญาที่ก่อให้เกิดรายได้ที่มีภาระผูกพันในอนาคตอยู่ทั้งสิ้น 12 สัญญา เป็นสัญญาให้บริการติดตามทวงถามหนี้และติดตามเอาทรัพย์สินคืน โดยได้มีการระบุถึงการขยายระยะเวลาการให้บริการไว้ในสัญญาเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ลูกค้าจะสามารถใช้สิทธิขยายระยะเวลาในสัญญาได้ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ถึง 2 เดือนก่อนที่สัญญาจะหมดอายุ
นอกจากนี้ บริษัทมีการเข้าร่วมประมูลสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งจากสถาบันการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์ หรือ บริษัทเอกชน อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 60 บริษัทมีแผนการลงทุนซื้อสินทรัพย์ด้อยภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันในจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งแผนการลงทุนนี้ยังไม่นับรวมเงินที่บริษัทคาดการณ์ว่าจะได้รับจากการระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
ทั้งนี้ ในปี 2561 บริษัทจะนำเงินที่สามารถระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ส่วนใหญ่มาใช้ในการประมูลกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกัน ซึ่งเป็นกองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในการจัดเก็บหนี้ที่น้อยกว่ากองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัท
CHAYO มีทุนจดทะเบียนจำนวน 280 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 560 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ชำระแล้วจำนวน 210 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 60 เมื่อวันที่ 25 เม.ย.60 มีมติให้บริษัทออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 140 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
ผลการดำเนินงานของบริษัทไตรมาส 2/60 สิ้นสุด 30 มิ.ย.60 มีรายได้จากการให้บริการเร่งรัดหนี้สิน 17.03 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 83.77 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า 4.46 ล้านบาท ต้นทุนการให้บริการ 34.15 ล้านบาท กำไรสุทธิ 33.08 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์รวม 340.71 ล้านบาท หนี้สินรวม 32.10 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 308.61
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ ตระกูลยศะสินธุ์ ถือหุ้น 398,929,420 หุ้น คิดเป็น 94.98% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 71.24%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย