ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ CPN เป็น “AA"จาก “AA-" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 22, 2017 16:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เป็นระดับ “AA" จากเดิมที่ระดับ “AA-"

อันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและแหล่งที่มาของรายได้ที่แน่นอน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์การค้า ตลอดจนผลงานในการบริหารศูนย์การค้าคุณภาพสูง กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ รวมถึงนโยบายทางการเงินของบริษัทที่มีความระมัดระวัง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความต้องการเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อใช้รองรับแผนการขยายธุรกิจของบริษัทในช่วงปี 2560-2563 ด้วย

CPN เป็นผู้พัฒนาศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโดยมีตระกูลจิราธิวัฒน์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 27% รองลงมาคือ บริษัท เซ็นทรัล โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วน 26% การเป็นสมาชิกในเครือเซ็นทรัลทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีร้านค้าหลักในเครือจำนวนมากภายในศูนย์การค้าของบริษัท ซึ่งดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทบริหารศูนย์การค้าจำนวน 30 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และในจังหวัดสำคัญ โดยมีพื้นที่ค้าปลีกรวม 1.6 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) บริษัทคงความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารศูนย์การค้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ค้าปลีกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหมดแล้ว บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึงประมาณ 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากการมีอัตราการเช่าพื้นที่ในระดับสูงและรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าเดิมที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการเช่าศูนย์การค้าโดยเฉลี่ยในระดับสูงที่ 93%-94% ในช่วงปี 2558-2560 รายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทเติบโต 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 25,246 ล้านบาทในปี 2559 และเติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 13,048 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการสร้างรายได้ค่าเช่าและค่าบริการในศูนย์การค้าเดิมที่มากขึ้น รวมถึงการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ คือ เซ็นทรัลพลาซ่า นครศรีธรรมราช ในกลางปี 2559 ทั้งนี้ รายได้ค่าเช่าและค่าบริการของศูนย์การค้าเดิมเติบโต 2% ในปี 2559 และ 3.4% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 27,000-30,000 ล้านบาทต่อปี โดยบริษัทมีแผนเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2-3 แห่งต่อปี

อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 57% ในปี 2559 และ 62% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 จาก 51%-54% ในช่วงปี 2556-2558 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นได้รับแรงหนุนมาจากความสามารถในการปรับขึ้นอัตราค่าเช่า รวมถึงการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดีขึ้น แม้ว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ระดับสูงกว่า 50% เอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

อัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับดีขึ้นเป็น 38% ณ เดือนมิถุนายน 2560 จาก 44% ณ เดือนธันวาคม 2558 อัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายดีขึ้นเป็น 1.7 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2560 จาก 2.2 เท่า ณ เดือนธันวาคม 2558 สภาพคล่องของบริษัทยังคงแข็งแกร่งโดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วเท่ากับ 42% ในปี 2559 และ 43% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) สภาพคล่องของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2560 ได้รับแรงหนุนจากเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 2,205 ล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 6,100 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2560 บริษัทมีแผนจะแปลงสภาพกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPN Retail Growth Leasehold Property Fund -- CPNRF) เป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPN Retail Growth Leasehold Real Estate Investment Trust -- CPNREIT) ในช่วงเวลาเดียวกันกับการนำทรัพย์สินในโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช และโรงแรมฮิลตัน พัทยา มูลค่ารวม 11,908 ล้านบาทให้เช่าช่วงแก่กองทรัสต์ โดยเงินที่ได้จากการให้เช่าช่วงบางส่วนจะนำมาใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับงบลงทุนที่ตั้งไว้ 14,000-16,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560-2563

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า และคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดอยู่ที่ระดับ 14,000-17,000 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 29,000-35,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาวินัยทางการเงินโดยดำรงอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสูงกว่า 50% และดำรงอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2 เท่าเอาไว้ได้

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ การมีอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ประมาณ 3-4 เท่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตลงได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ