นายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผ้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) คาดว่ากำไรปีนี้จะเติบโตทะลุเป้าหมายที่คาดว่าจะเติบโต 10% จากระดับ 8.32 พันล้านบาทในปีที่แล้ว หลังในช่วงครึ่งแรกของปีนี้กำไรเติบโตเกือบ 40% จากกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่จะทยอยเข้าระบบในปีนี้ราว 360 เมกะวัตต์ รวมถึงการรับรู้กำไรจากการเข้าไปซื้อหุ้นราว 20% ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพซาลัก และดาราจัท ในอินโดนีเซีย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ขณะที่ยังมองหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจน 1 โครงการในปีนี้ พร้อมทั้งศึกษาการนำที่ดินบนที่ตั้งโรงไฟฟ้าระยองที่หมดอายุไปแล้ว เพื่อพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม รองรับโครงการ EEC ซึ่งคาดว่าจะสรุปผลได้ในกลางปี 61
"กำไรปีนี้โตมากกว่าเป้าอยู่แล้ว เพราะครึ่งปีแรกเราก็เติบโตเกือบ 40% ปีนี้จะมีโรงไฟฟ้า SPP เข้ามา 3 โรง กำลังผลิตโรงละประมาณ 120 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าให้กฟผ.รวม 270 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม อีกทั้งยังรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าขนอม และชัยภูมิวินด์ฟาร์ม ที่เริ่มเดินเครื่องผลิตปีที่แล้วได้เต็มปีในปีนี้ นอกจากนี้โรงไฟฟ้าในอินโดนีเซียที่ซื้อมาจากเชฟรอน ก็เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา"นายชนินทร์ กล่าว
นายชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าคลองหลวง ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วเมื่อปลายเดือนก.ค. ส่วนโรงไฟฟ้าโครงการทีพี โคเจน และเอสเค โคเจน ในจ.ราชบุรี จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนต.ค.นี้ โดยโรงไฟฟ้าที่เข้าระบบในปีนี้ก็จะทำให้รับรู้ผลการดำเนินงานในเต็มปีในปีหน้า แม้ว่าจะไม่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เข้าระบบเลยก็ตามในปีหน้า แต่ก็เชื่อว่ากำไรในปี 61 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปีนี้
ปัจจุบัน EGCO มีโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องแล้ว 27 แห่ง กำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุนราว 4,352 เมกะวัตต์ และมีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 6 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุน 911 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จภายในปี 64 ได้แก่ โรงไฟฟ้า PP จำนวน 2 โรง ที่จะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนต.ค.นี้ ,โรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ในลาว ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 62 ,โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา และโรงไฟฟ้ามาซินลอค หน่วยที่ 3 ในประเทศฟิลิปปินส์ จะเริ่มเดินเครื่องผลิตในปี 62
และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำเทิน 1 ในลาว ซึ่งตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนพ.ค.65 แต่คาดว่าจะทำได้เร็วกว่าแผนเป็นต้นปี 64 หลังการก่อสร้างมีความคืบหน้ามากแล้ว โดยคาดว่าโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 จะสร้างกำไรให้บริษัทราว 10 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเข้ายื่นเสนอขายไฟฟ้าตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแบบ SPP Hybrid Firm ที่รัฐบาลเตรียมจะเปิดให้ยื่นข้อเสนอในเดือนต.ค.นี้ โดยจะเสนอ 1 โครงการ ใช้ชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงการผลิต กำลังผลิตไม่เกิน 30 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตร ขณะเดียวกันยังมองหาโอกาสการลงทุนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้ น่าจะเห็นความชัดเจนได้ 1 ดีล
สำหรับโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 4 โรงที่ใกล้จะหมดอายุ โดยโรงไฟฟ้าในจ.สระบุรี 1 แห่ง ที่มีกำลังการผลิตกว่า 100 เมกะวัตต์ จะหมดอายุก่อนโรงแรกในปี 62 ซึ่งคาดว่าจะไม่ได้รับการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพราะว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์การต่อสัญญา ส่วนโรงไฟฟ้า SPP ที่เหลือก็จะทยอยหมดอายุตามลำดับ แต่โรงไฟฟ้าที่เหลือนั้นตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ก็มีโอกาสที่ได้รับการต่อสัญญาแต่ทั้งนี้ต้องศึกษารายละเอียดก่อน อย่างไรก็ตามการที่โรงไฟฟ้า SPP ทยอยหมดอายุลง ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อบริษัทเพราะก็จะมีโรงไฟฟ้าใหม่ทยอยเข้าระบบอย่างต่อเนื่ง
ส่วนพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าระยอง ในจ.ระยอง ที่หมดอายุไปก่อนหน้านี้นั้น บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาจะนำที่ดินดังกล่าวซึ่งมีประมาณ 500 ไร่ มาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม รองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากราว 100-200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสาธารณูปโภครองรับโรงงานต่าง ๆ โดยคาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในกลางปี 61
"ดูตามผลตอบแทนหรือรายได้ในอนาคต EGCO แทบไม่ต้องทำอะไรในช่วงสั้น เพราะเรามีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าครอบคลุม แต่ทีมงานของเราไม่เคยหยุดนิ่ง และหาสิ่งดี ๆ มาให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งนับเป็นจุดแข็งขององค์กร"นายชนินทร์ กล่าวในวาระที่จะครบวาระเกษียณอายุ
ทั้งนี้ EGCO ประกาศแต่งตั้งนายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.