โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เล็งผลบวกหากเข้าถือหุ้น บมจ.เงินทุน ศรีสวัสดิ์ (BFIT) เพิ่มจากปัจจุบันที่ถืออยู่ 35% ส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวได้มากขึ้น และต้นทุนทางการเงินต่ำลง
ในด้านผลการดำเนินงานของ SAWAD สินเชื่อก็เติบโตแข็งแกร่งทั้งในปี 60-61 จากที่เน้นตลาดที่ธนาคารเข้าไม่ถึง อีกทั้งการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูง และยังมีการบริหารสินทรัพย์ดีเยี่ยม
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 60 จะอยู่ในช่วง 2,719-2,775 ล้านบาท
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.04 น. ราคาหุ้น SAWAD ติดลบ 1.69% มาอยู่ที่ 58 บาท ลดลง 1 บาท ขณะที่ดัชนี SET บวก 1.10 จุด มาอยู่ที่ 1,670.85 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 61.00 บัวหลวง ซื้อ 60.00 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 60.00 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ซื้อ 58.00 ทิสโก้ ซื้อ 56.00 เอเซียพลัส ซื้อ 57.00
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า SAWAD จะได้รับผลดีจากการเข้าซื้อ BFIT เพิ่มเติมทั้งในแง่แหล่งเงินทุน และการปล่อยสินเชื่อ โดยมองว่าบริษัทจะยังคงเน้นการขยายสินเชื่อเช่าซื้ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คาดปี 60-61 ขยายตัวที่ 97.6% และ 28.4% เนื่องจากครึ่งปีแรก สินเชื่อเช่าซื้อขยายตัวที่ 69.0% YTD
แม้ว่า ณ ปัจจุบัน SAWAD จะยังไม่มีการปล่อยสินเชื่อเงินให้กู้ยืมเพิ่มขึ้น แต่มองว่าบริษัทจะกลับมาปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นในปีหน้า ภายหลังจัดตั้งกลุ่มธุรกิจทางการเงินสำเร็จ และเป็นไปตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับ คาดสินเชื่อเงินให้กู้ยืมปี 60-61 ขยายตัวที่ 3.7% และ 17.5% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังเห็นโอกาสในการขยายสินเชื่อของบริษัทผ่านทาง BFIT เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)อนุญาตให้ BFIT สามารถให้สินเชื่อที่มียานพาหนะเป็นหลักประกันได้
พร้อมปรับกำไรสุทธิจากการดำเนินการปกติปี 60 เพิ่มขึ้น 4.2% มาอยู่ที่ 2,647 ล้านบาท ขยายตัว 26.6%YoY หรือกำไรสุทธิปี 60 ที่ 2,775 ล้านบาท (+38.4%) จากการปรับการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มขึ้น
แต่จากอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ลดลง, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น, การปรับเปลี่ยนการรับรู้ NPLs ให้เป็นไปตามเกณฑ์ ธปท.และการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษในปี 61 เพื่อรองรับมาตรฐานการบัญชีใหม่ IFRS9 ส่งผลให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ลดลงมาอยู่ที่ 2,877 ล้านบาท (+3.7%YoY)
ด้านน.ส.อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หาก SAWAD จะเข้าถือหุ้นของ BFIT ได้ทั้ง 100% ก็จะทำให้การปล่อยสินเชื่อทำได้ดีขึ้นและมีต้นทุนการเงินต่ำลง และเปลี่ยนจากการปล่อยสินเชื่อภายใต้ BFIT สามารถลดข้อจำกัด จากกฎหมายใหม่เกี่ยวกับสัญญาเงินกู้ยืมได้ถูกจำกัดไม่ให้เก็บอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15%
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่ารายได้ของ SAWAD จะกลับมาโตอัตราเดิมที่ 20-30% ต่อปี จากก่อนหน้าสินเชื่อโตแต่รายได้ไม่โตตามสินเชื่อ รวมทั้งประมาณการกำไรสุทธิในปี 60 ที่ 2,719 ล้านบาท เติบโต 25%, ปี 61-62 คาดกำไรเติบโต 7% และ 12% ตามลำดับ โดยให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 57 บาท ส่วนปี 61 ให้ราคาเป้าหมายที่ 78 บาท
ส่วน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น SAWAD เนื่องจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของสินเชื่อทั้งปี 60 และปี 61 เนื่องจากเน้นตลาดที่ธนาคารเข้าไม่ถึง, การเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูง, การบริหารสินทรัพย์ดีเยี่ยม และการซื้อหุ้น BFIT จำนวน 35% จะสร้างการเติบโตในปี 61 จากการได้ต้นทุนการเงินที่ถูกลงและได้ค่าบริการใหม่ ๆ จะช่วยให้ BFIT หาสินเชื่อที่ใหม่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน SAWAD ถือ BFIT 35% หลังจากที่ ธปท.อนุญาตให้บริษัทถือครอง BFIT ได้ 100% การเข้าซื้อ BFIT ไม่เพียงแต่หนุนให้ SAWAD มีแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ (เทียบกับตั๋ว B/E และหุ้นกู้) แต่ยังหนุนให้มีแหล่งเงินทุนที่มั่นคง ล่าสุด BFIT ประกาศเข้าทำสัญญาบริหารจัดการสินเชื่อกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 (SAWAD ถือหุ้น 100%) เพื่อรับบริการงานจัดหาสินเชื่อ(SME และรายย่อย), งานบริการรับชำระหนี้, และงานรับบริการติดตามหนี้ โดยสัญญาจะครอบคลุมระยะเวลาระหว่างวันที่ 1 ก.ค.60-30 มิ.ย.62 คิดเป็นมูลค่าของสัญญา 1.9 พันล้านบาท โดย BFIT คาดจะจ่ายค่าบริการ 637 ล้านบาทให้กับ SAWAD ในปี 61 และอีก 1.26 พันล้านบาทในปี 62 โดยสัญญาดังกล่าวต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น BFIT ก่อน วันที่ 31 ต.ค. 60 อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รวมปัจจัยดังกล่าวเข้าไปในประมาณการ