บมจ.ทุ่งคาฮาเบอร์ (THL) เดินหน้าลุยธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ กำหนดแผนลงทุน 5 ปีดันกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 100 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5 พันล้านบาท ประเดิมลงทุน 3 โรงไฟฟ้าในประเทศ เป็นโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ 2 โครงการในชุมพรและพังงา รวม 10 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 6 เมกะวัตต์ ขณะที๋ศึกษาลงทุนโซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม 2 โครงการ รวม 60 เมกะวัตต์
สำหรับโครงการโซลาร์ ฟาร์มร่วมกับสหกรณ์พูนสุข จังหวัดชุมพร กำลังการผลิตติดตั้ง 5 เมกะวัตต์ เงินลงทุนประมาณ 225 ล้านบาท และ โซลาร์ ฟาร์ม สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านตากแดด จำกัด จังหวัดพังงา กำลังการผลิตติดตั้ง 5 เมกะวัตต์ เงินลงทุนประมาณ 225 ล้านบาท ทั้งสองโครงการคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างต้นปี 61 และ COD ภายในไตรมาส 3/61
ส่วนโครงการกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากชุมชน กำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ เงินลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งผลสำรวจข้อมูลปริมาณขยะในพื้นที่จำนวน 580 ตันต่อวัน ปัจจุบันโครงการได้ผ่านขั้นตอนการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทย และรอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศรับซื้อ คาดว่าจะดำเนินการในอีก 2 เดือนข้างหน้า โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 1/61 และเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในไตรมาส 4/62
บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาหลายโครงการ ทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ ซึ่งจะเน้นการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV หรือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เป็นหลัก ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการโซลาร์ฟาร์ม ที่ประเทศเวียดนาม 2 โครงการ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 60 เมกะวัตต์ และยังศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในต่างประเทศด้วย
"บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยเปิดตัวธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เนื่องจากเห็นว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย และในประเทศอาเซียนจะเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจนี้จะมีการเติบโตมากขึ้น ประกอบกับกระแสของโลกที่กำลังตื่นตัวกับพลังงานทดแทนเพื่อลดผลภาวะโลกร้อน และที่สำคัญ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มีรายได้ที่แน่นอนในระยะยาว สามารถลดความเสี่ยงรวมทั้งเป็นการสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคตได้อย่างมั่นคง"นายวิจิตร กล่าว
THL เดิมทำธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ ภายใต้บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ก่อนจะได้ขายบริษัทดังกล่าวออกไปเมื่อปี 59 โดยปัจจุบันมีรายได้จากธุรกิจขายหินแอนดีไซต์ ,ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรับจ้างดำเนินการเหมืองแร่ดีบุก ในเมียนมา และล่าสุดได้ประกาศแผนการลงทุนในธุรกิจพลังงานในวันนี้ โดยเมื่อปีที่แล้ว THL มีผลขาดทุนสุทธิ 213.25 ล้านบาท และมีรายได้รวม 267.18 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 21.4 ล้านบาท และมีรายได้รวม 168.94 ล้านบาท
นายวิจิตร กล่าวว่า ผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะกลับมามีกำไร และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้โครงการเหมืองแร่ดีบุก ในประเทศเมียนมา ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมจะขึ้นแตะระดับ 1 พันล้านบาทในปี 62 โดยจะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจเหมือง 70% พลังงานทดแทน 20% และส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 10% โดยปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นเพิ่มเติมเพื่อที่จะลงทุนในโครงการเหมืองแร่ดีบุกในเมียนมาอีก 2 โครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนพร้อมเริ่มก่อสร้างทันทีในช่วงปลายปีนี้ ด้วยมูลค่าการลงทุน 30-40 ล้านบาท/แห่ง
ขณะเดียวกันก็มีการเจรจาร่วมลงทุนกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อลงทุนในเหมืองแร่ทองแดงและเหมืองแร่ตะกั่วในลาว มีมูลค่าการลงทุนเบื้องต้นราว 200-300 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในอีก 2 เดือนนี้
"ปัจจุบันบริษัทจะมี 3 ธุรกิจหลักที่สำคัญ ประกอบด้วย ธุรกิจเหมืองแร่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจพลังงานทดแทน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ในอนาคต ยังมาจากธุรกิจเหมืองแร่มากที่สุด เพราะเป็นธุรกิจหลัก แต่ธุรกิจพลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต"นายวิจิตร กล่าว
นายวิจิตร กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนให้ขึ้นไปแตะ 1 พันล้านบาทในปี 64 ตามแผนการขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้า จากที่มีอยู่ในมือแล้วบางส่วน โดยยังเจรจาเข้าร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศไทย กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ ในพลังงานขยะและพลังงานแสงอาทิตย์ รวม 3 โครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นปี 61
พร้อมกันนี้ยังได้มองหาการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในต่างประเทศเพิ่มเติม โดยมีการเจรจาเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ แต่ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาการสรุปโครงการได้ ส่วนในเมียนมา ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของนโยบายพลังงานจากรัฐบาลก่อน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความพร้อมในเรื่องของสายส่ง
"ที่เราเข้ามาลงทุนในธุรกิจพลังงานในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะเป็นการสร้างพื้นฐานของบริษัทให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ด้วยการมีรายได้ที่เป็นประจำที่เรามองว่าไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนดี และมีสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงมองว่าธุรกิจเหมืองยังคงให้ผลตอบแทนดี และยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมาก เราจึงมุ่งเน้นขยายไปพร้อม ๆ กัน"นายวิจิตร กล่าว
นายวิจิตร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทได้มีการแก้ปัญหาต่าง ๆเรียบร้อยแล้ว ผลประกอบการก็เริ่มกลับมามีกำไรตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ส่วนหุ้น THL จะกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้เมื่อใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)