นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) มองตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (2-6 ต.ค.) ว่าดัชนีฯยังเป็นช่วงของการปรับฐานและทรงตัว (sideway) จนกว่าแรงขายจะชะลอลง หลังขึ้นไปทดสอบ 1,670 จุด คาดว่าจะลงมาเล่นในกรอบ 1,660-1,680 จุด โดยที่การปรับพอร์ตของนักลงทุนรับสถานการณ์ที่ Fed ปรับนโยบายการเงิน และสถานการณ์เกาหลีเหนือ จะเป็นตัวแปรสำคัญจากต่างประเทศ ขณะที่ของไทยเองจะมีการเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3 ส่งผลให้มีการเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ถูกคาดว่ากำไรจะดีมากขึ้น
ในด้านปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ โดยที่โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่สำรวจโดย Bloomberg พบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 66% และการประกาศตัวเลขที่ชัดเจนของมาตรการลดภาษีของทรัมป์ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง โดย Dollar Spot Index ปรับตัวขึ้นมาจาก 92 เป็น 93 จุด ทำให้ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์อ่อนค่าลงตามลำดับ KTBST มองว่าค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้ และเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกไทยและหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นลบจากต่างชาติอาจขายหุ้นเพราะค่าเงินอ่อนลง
อีกปัจจัย คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งผลสำรวจจาก Bloomberg พบว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ เพียง 0.5% อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ ECB จะส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยและหยุดการทำ QE ซึ่งจะเป็นลบต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยที่ผ่านมามีการระบุว่า ECB จะหยุดการทำ QE ในช่วงประมาณ ไตรมาส 1/61
สำหรับปัจจัยในประเทศติดตามในเรื่องกระแสเงินสดจากต่างประเทศ สัปดาห์ที่ผ่านมาต่างชาติเริ่มมีสถานะสุทธิเป็นขาย 2.2 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีสถานะเป็น short position ใน SET50 Futures อาจเป็นสัญญาณว่าต่างชาติจะมีการขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย ขณะที่การคาดการณ์งบไตรมาส 3 หุ้นธนาคารได้แก่ TISCO และ TCAP ทั้ง 2 ตัวคาดว่าจะมีผลประกอบการออกมาดี และสัปดาห์นี้คาดว่าจะมีการคาดการณ์หุ้นกลุ่มแบงก์ที่เหลือ คาดกำไรจะเติบโต QoQ หลังการตั้งสำรองของ KTB ลดลง
ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเปิดเผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ส.ค.อยู่ที่ระดับ 112.94 เพิ่มขึ้น 3.74% ขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือน อัตราการใช้กำลังการผลิต 62.46% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และกระตุ้นการบริโภค เช่น ออกบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งการส่งออกภาคเกษตรเริ่มมีมากขึ้น และช่วงปลายปีภาคการผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วง พ.ย. เพื่อส่งมอบลูกค้าช่วงเทศกาลปลายปี
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ ต้องเน้นเล่นสั้นสลับกลุ่มเล่นแบบรายวัน หากดัชนีฯ ต่ำกว่า 1,660 จุด นักลงทุนระยะยาวให้ลดพอร์ต ส่วนการเก็งกำไรช่วงสั้นแนะให้รอซื้อเมื่อตลาดมีแรงซื้ออย่างจริงจังเข้ามา กลุ่มหุ้นที่ให้น้ำหนักมากที่สุดจะไปเน้นที่หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว หุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่จะออกมาดี และหุ้นที่ยังมีความ Laggard มองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีในสัปดาห์นี้ที่ 1,650-1,680 จุด หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ PTG, HANA, RJH, TOP, ASAP