นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอพเพิล เวลธ์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน ต.ค. ดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,640-1,700 จุด เนื่องจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์ Dollar Index มีโอกาสแข็งค่าขึ้น ซึ่งหลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่ผ่านมาส่งผลค่าเงินดอลลาร์ แข็งขึ้นแล้วราว 2.3 % ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติมีโอกาสชะลอตัวลง ประกอบกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะประกาศมาตรการลดเม็ดเงินตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงในปีหน้า ก็เป็นปัจจัยกดดันทำให้ดัชนี SET ในเดือนนี้
ขณะที่ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีการคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะเติบโตที่ระดับ 3.8-4.0% ในปีนี้ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จากสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี ยังทำให้มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้และตลาดทุนไทย เนื่องจากความมีเสถียรภาพของเงินบาทและเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว ส่งผลให้ดัชนี SET เดือน ก.ย. ปิดที่ระดับ 1,673.16 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.52% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ขณะที่สถาบันซื้อสุทธิ 2.8 พันล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 6.9 พันล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 8.3 พันล้านบาท โดยปริมาณการซื้อขายเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นอยู่เฉลี่ยราว 6 หมื่นล้านบาท/วัน
"หลังจากการประชุม FOMC ที่ผ่านมาแข็งขึ้นจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค. นี้ รวมถึงความชัดเจนเกี่ยวกับมาตราการลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับดีขึ้นและระยะสั้น Dollar Index มีโอกาสแข็งค่าไปที่ระดับ 94.0 ทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียเริ่มอ่อนค่า โดยเงินบาทอ่อนค่าราว 1.2% เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตรในช่วงหลังประชุมเฟดราว 1.7 หมื่นล้านบาท ในส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นผลกระทบน้อยกว่าเนื่องจากนักลงทุนชาติมียอดซื้อสุทธิหุ้นไทยในปีนี้เพียง 9.9 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามหากทิศทางค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อเนื่องอาจจะส่งผลให้เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่ชะลอตัวลงได้"นายอภิชัย กล่าว
นายอภิชัย ประเมินว่า SET ระยะกลางส่งสัญญาณบวกหลังจากดัชนีสามารถปรับตัวผ่านระดับ 1,600 จุด พร้อมปริมาณการซื้อขายระดับ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นของดัชนี ประเมินดัชนีเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Up โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,640 จุด และมีแนวต้านที่ 1,700 จุด โดยประเมินแนวต้านใหญ่ระยะกลางที่ระดับ 1,789 จุด
กลยุทธ์การลงทุนต้องติดตามผลประกอบการไตรมาส 3/60 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เบื้องต้นคาดว่ากำไรสุทธิจะฟื้นตัวเมื่อเทียบรายไตรมาส จากภาระกันสำรองที่ลดลง และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) น่าจะถึงระดับสูงสุดในไตรมาส 3 ส่วนในไตรมาส 4 นี้คาดสินเชื่อมีโอกาสขยายตัวได้ดีจากการลงทุนภาครัฐและการส่งออกที่ฟื้นตัวดี หุ้นแบงก์ใหญ่ เช่น BBL , KBANK ,SCB ,KTB เนื่องจากคาดผลประกอบการปีหน้าขยายตัว 13-15 % , กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA , WHA และกลุ่มท่องเที่ยว AAV ,ERW