บมจ.สากล เอนเนอยี (SKE) เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 237 ล้านหุ้นในราวเดือน พ.ย.นี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อระดทมทุนไปใช้ในการขยายกิจการ ขณะที่มีแผนจะลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบสูบอัดและจ่ายก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และลงทุนในสถานีบริการก๊าซ NGV ตามแนวท่อแบบ Ex-pipeline รวมไปถึงชำระคืนเงินกู้ยืมธนาคารพาณิชย์และใช้เป็นทุนหมุนเวียน
นายชัชชัย สุเมธโชติเมธา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKE เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าจดทะเบียนใน SET โดยจะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 237 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25.51% ของจำนวนหุ้นสามัญของบริษัท ซึ่งมีนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจเข้าลงทุนพอสมควร คาดว่าจะเดินทางไปนำเสนอข้อมูลและเปิดให้จองซื้อหุ้นได้ภายในเดือน พ.ย.นี้
SKE ประกอบธุรกิจให้บริการสถานีก๊าซธรรมชาติหลักเอกชน โดยให้บริการอัดก๊าซธรรมชาติแก่ บมจ.ปตท. (PTT) เพื่อขนส่งไปให้สถานีบริการ NGV นอกแนวท่อก๊าซ รวมถึงปรับปรุงคุณภาพก๊าซธรรมชาติ ให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด โดยได้ทำสัญญาระยะยาว 20 ปี กับกลุ่ม PTT ซึ่งทั้ง 2 สถานีหลักจะสิ้นสุดสัญญาในปี 72-73
ปัจจุบันบริษัทมี 2 สถานีหลัก มีกำลังการการอัดก๊าซธรรมชาติทั้งหมด 750 ตัน/วัน หรือ 273,750 ตัน/ปี มีอัตราการใช้กำลังการผลิตประมาณ 70% ประกอบด้วย สถานีก๊าซธรรมชาติหลักปทุมธานี มีกำลังการอัดก๊าซธรรมชาติและกำลังสำรองประมาณ 250 ตัน/วัน ซึ่งได้ทำสัญญาเพิ่มเติมกับ PTT เพื่อขยายกำลังอัดก๊าซธรรมชาติได้สูงสุด 350 ตัน/วัน ส่วนสถานีก๊าซธรรมชาติหลักสระบุรี มีกำลังการอัดก๊าซธรรมชาติสูงสุด 400 ตัน/วัน
ด้านนายนายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKE กล่าวว่า บริษัฯมีแผนลงทุนในสถานีบริการก๊าซ NGV ตามแนวท่อ Ex-pipeline สำหรับให้บริการรถขนส่งทั่วไปที่จังหวัดนครสวรรค์ มูลค่าการลงทุนราว 100 ล้านบาท กำลังการอัดก๊าซธรรมชาติ 30 ตัน/วัน ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายประมาณ 20 ตัน/วัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอ PTT พิจารณาอนุมัติรูปแบบ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้เดือน ม.ค.62 โดยโครงการดังกล่าวมีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่าการทำธุรกิจปกติ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่ากำไรของบริษัทได้ดีในอนาคต
สำหรับภาพรวมของรายได้ปีนี้ SKE ยังมั่นใจว่าจะทำได้สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 414.38 ล้านบาท แม้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจะมีรายได้ 163 ล้านบาท ลดลง 19.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการอัดก๊าซที่น้อยลงตามภาวะเศรษฐกิจ และมีการปิดซ่อมท่อจำหน่ายก๊าซ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าครึ่งปีหลังผลประกอบการจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเป็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และปี 61 จะกลับมาเติบโตได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ทำได้ราว 18%