นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 61 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตต่อเนื่องที่ระดับ 24% จากการเติบโตของทุกธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือโรงแรม
ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ที่ระดับ 21% โดยแนวราบจะเติบโต 25% และคอนโดมิเนียมเติบโตขึ้น 16% มีแผนเปิดโครงการใหม่ รวม 25 โครงการ มูลค่ารวม 31,413 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 21 โครงการ มูลค่า 26,513 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 4,900 ล้านบาท
สำหรับการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ทั้งกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศและต่างประเทศ ขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น การร่วมทุนกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศอีก 2 ราย เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการของ บมจ.วีรีเทล ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ตลอดจนการเจรจาต่อยอดความร่วมมือกับผู้ร่วมทุนต่างประเทศเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มเติม
ส่วนภาพรวมธุรกิจและการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในครึ่งปีหลังของ 60 ว่า เนื่องจากครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การเติบโตในส่วนของแนวราบปรับฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่คอนโดฯ ยังมีซัพพลายล้นในบางทำเล จากการที่ผู้ประกอบการหันมาทำคอนโดมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
เมื่อต้นปีกลุ่ม PF ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 18,300 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 22,260 ล้านบาท แต่เนื่องจากครึ่งปีแรกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้ จึงได้ปรับลดเป้าขายเป็น 15,100 ล้านบาท และปรับตัวเลขรายได้รวมเป็น 19,010 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทดีขึ้นอย่างเด่นชัดในครึ่งปีหลัง โดยดูจากผลการดำเนินงาน ณ สิ้นเดือน ก.ย.เป็นที่น่าพอใจ จึงคาดว่าในปีนี้จะทำได้ตามเป้าที่วางไว้
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรกของปี 60 กลุ่ม PF ทำยอดขายได้ 35% และรายได้รวมเพียง 32% ของเป้าที่วางไว้ โดยรายได้หลักยังคงมาจากโครงการแนวราบ ขณะที่ครึ่งปีหลังของปียอดขายและยอดโอนทั้งโครงการแนวราบและคอนโด ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก คาดไตรมาส 4/60 กลุ่ม PF จะมียอดโอนสูงสุดของปี เพราะนอกเหนือจากยอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้น ยังจะมียอดโอนคอนโดโครงการใหม่เข้ามาด้วย
โดยปลายไตรมาส 3/60 จะมีการบันทึกรายได้จากโครงการ “เมโทรลักซ์ รัชดา" เป็น Backlog มูลค่า 600 ล้านบาทเพิ่มเข้ามา โดย Backlog ณ สิ้นไตรมาส 3/60 มีจำนวน 3,620 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 4/60 นอกจากยอดโอนเมโทรลักซ์ รัชดา ส่วนที่เหลือแล้ว จะมียอดโอนจาก Backlog โครงการ “เดอะไฮด์ สุขุมวิท 11" อีก 2,200 ล้านบาท
พร้อมกันนั้น ยังมีการจัดตั้งกองทรัสต์ ของ GRAND ขนาดกองทุน 1,750 ล้านบาท รวมทั้งจะมีรายได้จากการขายที่ดินประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้รายได้ในไตรมาส 4/60 ทั้งนี้ การรับรู้รายได้เพิ่มจากการขายที่ดินและเงินลงทุน ถือเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบคู่แข่งเนื่องจากบริษัทมีแลนด์แบงก์จำนวนมาก
“จากนโยบายการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและลดภาระหนี้สินจะเริ่มสัมฤทธิ์ผลในไตรมาส 4 จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น และจากการขายที่ดินและเงินลงทุน ส่งผลให้กำไรของกลุ่มบริษัทจะปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานะการเงิน คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิ (Net IBD/E) จะลงมาอยู่ที่ระดับ 1.6 เท่าในปี 2560 และปรับลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3 เท่าในปี 61 โดยแผนในเรื่องการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและลดภาระหนี้สิน ยังคงมีการดำเนินการต่อเนื่องไปในปี 61 ซึ่งตั้งเป้ารายได้จากการขายที่ดินที่ 3,000 ล้านบาท โดยมีที่ดินและทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการเจรจามูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท"นายชายนิด กล่าว
ในส่วนธุรกิจโรงแรม นายไพสิฐ แก่นจันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) เปิดเผยว่า คาดว่ารายได้และกำไรจากธุรกิจโรงแรมจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ในปี 60 จะเติบโตขึ้น 16% และผี 61 จะเติบโต 22% ตามการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว การจัดประชุมสัมมนาขององค์กร ซึ่งมีการใช้ห้องพักในวันธรรมดามากขึ้น
รวมถึงกำไรจากการจัดตั้งกองทรัสต์ แกรนด์ โฮสพีทาลิตี้ (GAHREIT) โรงแรมเชอราตัน หัวหิน การเปิดตัวโรงแรมใหม่ “ไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท กรุงเทพ" ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 บริเวณสุขุมวิทซอย 13 เพียง 80 เมตร จากสถานีบีทีเอส นานา จำนวนห้องพัก 273 ห้อง ตลอดจนการเปิดตัว “ไฮแอท รีเจนซี่ ระยอง" โครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นรีสอร์ทและเรสซิเดนซ์บริเวณหาดแม่พิมพ์ ในช่วงกลางปี61