นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ปรานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กล่าวว่า ยอดขายที่ดินของกลุ่มบริษัทในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 500 ไร่ในช่วงครึ่งปีแรก สอดรับการที่บริษัทได้ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มขึ้นเป็นเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ หุ่นยนต์ และยานยนต์แห่งอนาคต ตามนนโยบายการขับเคลื่อนของภาครัฐในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ เริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายที่ดินในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1,400 ไร่
ส่วนการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมทางภาคเหนือตอนใต้ ของประเทศเวียดนาม พื้นที่รวม 20,000 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 3,000 ไร่ โดยในช่วงไตรมาส 4/60 จะเริ่มการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว ส่วนความคืบหน้าของลูกค้าที่สนใจซื้อพื้นที่ก่อสร้างโรงงานในนิคมฯ คาดว่าเร็ว ๆ นี้จะปิดการขายที่ดิน 1 แปลง พื้นที่ 30-40 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารต้องการเข้ามาลงทุน
ด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของกลุ่ม WHA ในประเทศไทยในปัจจุบัน อยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มอีก 3 นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ในจ.ชลบุรี และจ.ระยอง พื้นที่รวม 10,000 ไร่ โดยจะเปิดนิคมฯใหม่ 1 แห่งในปี 61 และจะทยอยเปิดอีก 2 แห่งที่เหลือ โดยจะใช้ระยะเวลาในการพัฒนาราว 1-2 ปีต่อนิคมอุตสาหกรรม 1 แห่ง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งหมด 12 แห่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ EEC 10 แห่ง และอีก 2 แห่งอยู่นอกพื้นที่ EEC
ส่วนด้านธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าในเช่าของบริษัทยังมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายของพื้นที่เช่าที่ตั้งเป้าไว้อยู่ที่ 200,000-250,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันบริษัทมียอดพื้นที่ทำสัญญาและอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสตัดสินใจจองพื้นที่สูง ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราว 80% ของเป้าหมายยอดจองพื้นที่เช่าในปีนี้ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มีความต้องการใช้พื้นที่เช่าคลังสินค้าแบบ Buit-to-Suit ส่วนการลงทุนโครงการโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นศูนย์กระจายสินค้าในประเทศอินโดนีเซีย เฟส 2 พื้นที่ 20,000 ตารางเมตร อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้า 2 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ และเริ่มเปิดให้บริการในปี 61
ขณะที่ธุรกิจสาธารณูปโภคคาดว่ารายได้การให้บริการน้ำทั้งปี 60 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10% จากปริมาณลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมี ซึ่งมีการใช้น้ำในปริมาณมากขึ้น เช่นเดียวกันกับธุรกิจโรงไฟฟ้าที่น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 40% จากการมีโรงไฟฟ้าที่จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้อีก 3 แห่ง ในครึ่งหลังของปีนี้
นางสาวจรีพร กล่าวว่า สำหรับแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทให้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) ในช่วงปลายปีนี้ คาดว่าจะดำเนินการได้ตามเป้าและรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/60 โดยตั้งเป้าขายทรัพย์สินประเภท Built-to-Suit ให้กองทรัสต์ WHART มูลค่าไม่เกิน 3.09 พันล้านบาท และขายทรัพย์สินประเภท Ready-Built ให้กองทรัสต์ HREIT มูลค่าไม่เกิน 1.69 พันล้านบาท โดยทั้งกองทรัสต์ WHART และ HREIT ต่างได้รับมติอนุมัติการลงทุนเพิ่มในทรัพย์สินของบริษัท จากที่ประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์แล้ว เมื่อวันที่ 13 ก.ค. และวันที่ 21 มิ.ย.60 ตามลำดับ
โดยกระบวนการต่าง ๆ ของกองทรัสต์ WHART และ HREIT อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะมีความชัดเจนและสามารถดำเนินการได้ตามแผนในช่วงปลายปีนี้ อีกทั้งบริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท