หุ้น TOA ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 31.50 บาท เพิ่มขึ้น 7.50 บาท (+31.25%)มูลค่าซื้อขาย 7,960.06 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 28 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 31.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 28 บาท
นายจตุภัทร์ ตั้งรวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA ผู้นำสีทาอาคารในไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯยอมรับผลประกอบการปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1.65 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.52 พันล้านบาท ตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ประกอบกับราคาวัตถุดิบกลับสู่ภาวะปกติ
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมั่นใจว่าในปี 61 ผลประกอบการจะกลับมาเติบโตในระดับปกติเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยเฉพาะการเติบโตในตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯมีเป้าหมายจะเป็นผู้นำตลาดสีในภูมิภาคอาเซียน โดยบริษัทฯได้ตั้งงบลงทุนไว้ราว 1,184 ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานแห่งแรกในประเทศอินโดนีเซีย โรงงานผลิตในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งมีแผนที่จะย้ายโรงงานจากเมืองย่างกุ้งไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา และโรงงานผลิตในประเทศกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/61 ไตรมาส 3/61 และไตรมาส 4/61 ตามลำดับ
หลังจากที่โรงงานทั้ง 3 แล้วเสร็จและดำเนินการตามแผนการปิดโรงงานในย่างกุ้ง ช่วงต้นปี 62 บริษัทฯจะมีกำลังการผลิตทั้งหมด 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี ซึ่งมาจากโรงงานผลิต 8 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย 3 แห่ง และเวียดนาม สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ประเทศละ 1 แห่ง
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 18-20% ใน 3-5 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 13% ซึ่งหลังจากทั้ง 3 โรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยให้บริษัทฯมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ และสามารถขยายตลาดได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ค่าขนส่งค่อนข้างสูง ส่งผลให้การแข่งขันค่อนข้างยาก
"เราพอใจมากกับราคาเปิดซื้อขายในวันนี้ ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุน ซึ่งเรายังมั่นใจว่าการเติบโตของเรายังจะมีอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไปและเราจะกลับมาเติบโตในตัวเลข 2 หลัก อย่างแน่นอน ซึ่งจากเงินที่เราได้รับจากการระทุนในครั้งนี้กว่า 5 พันล้านบาท เราก็ยังมีแผนที่จะขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้"นายจตุภัทร์ กล่าว
ด้านนายแมนพงษ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวว่า การเข้าซื้อขายของ TOA ในวันนี้ก็ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทฯถือเป็นผู้นำในตลาดสีและสารเคลือบผิวชั้นนำของไทยที่มีศักยภาพ และมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 48% และในอนาคตยังมีทิศทางการเติบโตอีกมาก จากการเน่นขยายตลาดไปยังประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีตลาดที่ขนาดใหญ่มาก ซึ่งการปรับขึ้นของราคาที่ 15-20% ถือว่ามีความเหมาะสม