ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ CK ชุดใหม่วงเงินไม่เกิน 2 พันลบ.ที่ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 11, 2017 10:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ช.การช่าง (CK) ที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ ไถ่ถอนภายใน 8 ปี ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" เช่นเดียวกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทย ตลอดจนความสามารถในการรับงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง

CK ก่อตั้งในปี 2515 โดยตระกูลตรีวิศวเวทย์ บริษัทเริ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโดยการรับงานจากหน่วยงานภาครัฐ ต่อมาบริษัทได้ขยายขอบเขตงานมากขึ้นและได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2538 บริษัทมีประสบการณ์ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ยาวนานโดยมีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างทั่วไปจนถึงงานก่อสร้างที่มีความซับซ้อนสูง

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย โดยบริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 3 รายแรกในระดับต้น ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในแง่ของรายได้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และโครงการที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะด้านด้วย

ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบมูลค่า 85,800 ล้านบาท โดยมีโครงการหลักได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 26,100 ล้านบาท โครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีมูลค่า 19,300 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมูลค่า 18,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการทั้ง 3 โครงการมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนถึง 74% ของมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ในปี 2559 บริษัทได้รับงานเพิ่มในโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีมูลค่า 19,400 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงสิ่งแวดล้อมของโครงการ ถึงแม้จะได้งานเพิ่มมูลค่าสูง แต่บริษัทก็ต้องเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการในรูปแบบเงินให้กู้ยืมด้วย ในการนี้บริษัทได้ให้เงินกู้เพื่อสนับสนุนโครงการแก่ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด จำนวน 13,547 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ทั้งหมดไม่เกินปี 2574 ทั้งนี้ บริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จะชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่บริษัทหลังจากวันเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ซึ่งกำหนดไว้ในปี 2562 โดยการชำระคืนหนี้เงินกู้จะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ เป็นสำคัญ

สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ใกล้เคียงกับประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง รายได้ของบริษัทเท่ากับ 20,290 ล้านบาท ลดลง 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในปี 2559 บริษัทมีรายได้เป็นสถิติสูงสุดอยู่ที่ 45,809 ล้านบาท โดยรายได้จากโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีคิดเป็นสัดส่วนถึง 53% ของรายได้รวม อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.9% จาก 7.2% ในปี 2559

การพิจารณาอันดับเครดิตยังรวมถึงการผสานธุรกิจและความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทด้วย ทั้งนี้ รูปแบบธุรกิจของบริษัทคือการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายขอบเขตธุรกิจเบื้องต้นของบริษัทซึ่งได้แก่งานรับเหมาก่อสร้าง

นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ อีกหลายประเภทด้วย แต่มีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 3 ราย ได้แก่ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW) และ บมจ. ซีเคพาวเวอร์ (CKP) โดยบริษัททั้ง 3 แห่งดังกล่าวดำเนินงานที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ ระบบขนส่งมวลชนและสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานหรือสัญญาซื้อขายระยะยาวซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องจากการลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทเหล่านี้ยังจ้างบริษัทให้ดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนของการขยายงานของแต่ละบริษัทอีกด้วย

ในทางกลับกัน อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนลงบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างด้วยกันเอง โดยโครงการส่วนใหญ่ที่ได้รับจะผ่านการประมูลงานที่แข่งขันกันสูงซึ่งทำให้มีอัตรากำไรไม่มาก จากผลของการที่ภาคเอกชนชะลอการลงทุน บริษัทจึงเน้นงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นอย่างมาก โดยรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความล่าช้าในขั้นตอนการประมูลงานและการจัดจ้างซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้รับเหมาก่อสร้าง

อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้ที่สูงของบริษัทด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 70.03% ลดลงจาก 72.39% ในปี 2559 อัตราส่วนดังกล่าวคาดว่าจะลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 65% เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 4 แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเมื่อพิจารณาจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและเงินให้กู้ยืมระยะยาว โดย ณ เดือนมิถุนายน 2560 โครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีได้เบิกเงินกู้ยืมไปแล้วจำนวน 11,264 ล้านบาท

อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ในระดับต่ำที่ 2.6% ณ เดือนธันวาคม 2559 และเพิ่มขึ้นเป็น 3.29% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ณ เดือนมิถุนายน 2560 ทริสเรทติ้งมองว่าภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันแม้ว่าบริษัทจะมีภาระหนี้สูงกว่าผู้รับเหมารายอื่น ๆ ที่ได้รับอันดับเครดิตเท่ากันก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจากการประเมินอันดับเครดิตได้มีการพิจารณาถึงโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทที่เป็นทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างและประกอบธุรกิจลงทุนด้วย

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 38,000-42,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560-2563 โดยจะเป็นรายได้จากโครงการไซยะบุรีประมาณ 7,000-9,000 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 15%-20% ของประมาณการรายได้ ทั้งนี้ งานรับเหมาก่อสร้างในมือจำนวนมากที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของประมาณการรายได้ในปี 2560 และคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ในปี 2561 ประมาณ 50% ในปี 2562 และประมาณ 30% ในปี 2563 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ในช่วงปี 2560-2563 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 6% โดยเฉลี่ย ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทนั้นคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านบาทต่อปี

บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีเงินสด 6,175 ล้านบาทและมีเงินลงทุนชั่วคราวอีกจำนวน 1,265 ล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามีจำนวนประมาณ 3,637 ล้านบาท นอกจากนี้ เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนทั้ง 3 แห่งยังช่วยเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย โดยเดือนมิถุนายน 2560 เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 50,079 ล้านบาท หรือประมาณ 96% ของภาระหนี้รวมของบริษัท ทั้งนี้ ในช่วงปี 2560-2563 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 3 เท่า ส่วนอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมนั้นคาดว่าจะอยู่ในช่วง 6%-8%

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้ได้งานใหม่จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสูงกว่า 6% โดยเฉลี่ยแม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงก็ตาม รวมทั้งรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 65% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่จะทำให้อันดับเครดิตปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ กรณีที่บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงกว่าประมาณการและสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 60% เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องได้ ในขณะที่ปัจจัยลบสำหรับอันดับเครดิตได้แก่การมีต้นทุนก่อสร้างในโครงการหลัก ๆ ที่สูงกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ หรือการให้การสนับสนุนทางการเงินที่มีมูลค่าสูงแก่บริษัทในกลุ่มนอกเหนือจากที่ประมาณการไว้ซึ่งจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อกระแสเงินสดของบริษัทเป็นอย่างมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ