ทริสเรทติ้งคงอันดันเครดิตองค์กรของ บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่ระดับ “BBB" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในงานก่อสร้างอาคารสูง ตลอดจนประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูง มูลค่างานในมือจำนวนมาก และสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท ทั้งนี้ อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากงานก่อสร้างที่ไม่ค่อยมีความหลากหลายและการมีลูกค้าน้อยราย รวมถึงลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
SYNTEC ก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างอาคารสูงเพื่อการพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ในภาคเอกชน ณ เดือนกันยายน 2560 ตระกูลพหูสูตรเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโดยถือหุ้นในสัดส่วน 28% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทยังขยายธุรกิจไปสู่อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าผ่านทางบริษัทย่อยในปี 2556 อย่างไรก็ดี รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในปัจจุบันยังมีขนาดเล็ก
ธุรกิจหลักของบริษัทเติบโตขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งสะท้อนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในงานก่อสร้างอาคารสูงซึ่งส่วนมากเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล บริษัทให้บริการด้านงานก่อสร้างแก่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายราย โดยความได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนและผลงานที่ได้การยอมรับช่วยให้บริษัทได้รับงานโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ จากลูกค้ารายเดิม ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อีกทั้งยังมีสถานะทางการเงินที่ดีอีกด้วย รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 5 โดยทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ที่ 7,843 ล้านบาทในปี 2559 และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2560 โดยรายได้เพิ่มขึ้น 23.1% ในช่วงครึ่งแรกของปีจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงเติบโตต่อไปได้ ทั้งนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างใหม่ ๆ จำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่างานในมือของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่
บริษัทมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเกิดจากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและกลยุทธ์ที่เน้นรับงานก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัยที่บริษัทมีความชำนาญ อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับหนึ่งหลักเป็น 18.5% ในปี 2559 และ 21.5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งประกอบกับการจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่รัดกุมทำให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทถูกลดทอนลงจากการพึ่งพาโครงการอาคารชุดพักอาศัยของลูกค้าจำนวนไม่กี่ราย โดยรายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากงานก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประเภทของงานก่อสร้างที่ไม่ค่อยมีความหลากหลาย ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการของ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ซึ่งเป็นลูกค้ารายสำคัญในสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้ต่อปี อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการมีลูกค้าจำนวนน้อยรายดังกล่าวได้รับการชดเชยจากความน่าเชื่อถือของลูกค้า ซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการชำระเงินค่าก่อสร้างในระดับที่ยอมรับได้
บริษัทและบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างต่างก็ได้รับผลกระทบจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจดังกล่าว ทั้งนี้ วัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งได้รับผลกระทบจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญนั้นยังคงเป็นข้อจำกัดในการพิจารณาอันดับเครดิต โดยอุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยที่ลดลงอาจกระทบต่อความมั่นคงของรายได้ของบริษัท อย่างไรก็ดี บริษัทเริ่มรับงานประเภทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ภาวะตลาดอาคารชุดพักอาศัยชะลอตัว ทำให้รายได้ของบริษัทยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
บริษัทได้ขยายธุรกิจไปสู่อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเพื่อมุ่งหวังกระจายแหล่งรายได้ โดยได้ซื้อสิทธิการเช่า The Duchess Hotel and Residence (หรือ The Natural Ville Residence ในชื่อเดิม) ซึ่งเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ที่ตั้งอยู่ที่ถนนหลังสวนในกรุงเทพฯ ในช่วงปลายปี 2556 ทั้งนี้ สิทธิการเช่าดังกล่าวเหลือเวลาอีกประมาณ 16 ปี
นอกจากนั้น บริษัทยังได้พัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์อีก 3 แห่งในจังหวัดชลบุรีและปราจีนบุรีด้วย โดยเน้นกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมใกล้เคียง ทั้งนี้ The Citadines Grand Central Sriracha ซึ่งเป็นโครงการแรกของบริษัทในย่านศรีราชาได้เปิดตัวไปในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 ส่วนโครงการอีกสองแห่งอยู่ระหว่างการพัฒนา
ในเดือนเมษายน 2560 บริษัทได้ซื้อสินทรัพย์โครงการ The Eight Thonglor Residences ซึ่งเป็นโครงการพื้นที่ใช้สอยแบบผสมผสาน (Mixed-use) ที่ตั้งอยู่ในซอยหลังสวนผ่านการดำเนินการของบริษัทย่อยคือ บริษัท ซี เอส เอ็ม แคปปิตอล พาร์ทเนอร์ส จำกัด (CSM) โครงการดังกล่าวถือเป็นการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดของบริษัทจำนวนประมาณ 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้จะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่แต่ระดับการก่อหนี้ของบริษัทยังถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ The Duchess Hotel and Residence รวมทั้ง The Citadines Grand Central Sriracha และ The Eight Thonglor Residences ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 รายได้จากสินทรัพย์เหล่านี้รวมกันอยู่ที่ 220 ล้านบาทหรือคิดเป็นประมาณ 5% ของรายได้รวม และมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 84% อนึ่ง ทริสเรทติ้งมองว่าการเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของบริษัทมีความเสี่ยงทั้งในด้านการแข่งขันในตลาดและการเพิ่มขึ้นของจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์ แม้สินทรัพย์ให้เช่าของบริษัทเหล่านี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีก็ตาม
รายได้ของบริษัทอยู่ในระดับ 7,000-8,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่ง 70%-80% มาจากโครงการอาคารชุดพักอาศัย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยได้แรงหนุนจากมูลค่างานในมือที่อยู่ในระดับสูงประมาณ 14,000 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งสูงกว่าระดับ 6,000-8,000 ล้านบาทในอดีตเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ มูลค่างานในมือดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากโครงการอาคารชุดพักอาศัยสำหรับลูกค้าระดับกลางถึงบนและจะช่วยประกันรายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ของบริษัทตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม มูลค่างานในมือที่ทำสถิติสูงสุดใหม่จะเป็นปัจจัยท้าทายสำหรับบริษัทในการที่จะรักษาระดับของประสิทธิภาพการดำเนินงานในระยะยาวเอาไว้ให้ได้
บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่าผู้รับเหมาส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เพิ่มขึ้นเป็น 18.8%
อย่างไรก็ดี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานมีแนวโน้มที่จะลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 10%-15% ซึ่งจะทำให้เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ 600-1,000 ล้านบาทต่อปีตามประมาณการของทริสเรทติ้ง
บริษัทมีนโยบายทางการเงินที่ค่อนข้างระมัดระวังซึ่งสะท้อนจากการก่อหนี้ในระดับปานกลางและการมีสภาพคล่องที่เพียงพอ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 25.5% ณ เดือนมิถุนายน 2560 ลดลงจาก 28.6% ในปี 2559 ซึ่งบริษัทก่อหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อซื้อ The Eight Thonglor Residences ทั้งนี้ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทไม่มีความจำเป็นต้องก่อหนี้มากนัก กลยุทธ์ในการเลือกรับงานจากลูกค้าที่มีสถานะทางการเงินในระดับที่ดีช่วยลดความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและลดความต้องการเงินทุนจากแหล่งภายนอก ทำให้เงินทุนส่วนใหญ่ที่บริษัทกู้ยืมมานั้นถูกใช้ไปในการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 40% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนทำการปรับปรุง The Eight Thonglor Residences และกำลังพัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ที่เหลือ อีกทั้งยังมองหาโอกาสลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะไม่ลงทุนด้วยการก่อหนี้ใหม่จนเกินตัวเมื่อพิจารณาจากนโยบายทางการเงินที่รัดกุมของบริษัท
บริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มมากขึ้นจากกำไรที่เพิ่มขึ้นและหนี้สินที่ลดลง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 82.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 จาก 55.8% ในปี 2559 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 26 เท่าจาก 20.2 เท่าในปี 2559
ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจะลดต่ำลงในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าจากอัตรากำไรที่ลดลงและระดับการก่อหนี้ที่จะเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดย
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะยังคงอยู่เหนือระดับ 20% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 5 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า
บริษัทมีการถือครองสินทรัพย์สภาพคล่องในระดับที่ค่อนข้างสูงโดยมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดอยู่ประมาณ 1,700 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทเท่านั้น แต่ยังช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยบริษัทสามารถใช้เงินสดที่มีอยู่จำนวนมากในการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างก่อนที่ราคาจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในส่วนของงานก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทเอาไว้ได้ อีกทั้งจะยังรักษาความสามารถในการทำกำไรและสถานะทางการเงินให้ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าไม่น่าจะทำให้สภาพคล่องและระดับการก่อหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสถานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะการเงินของบริษัทด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเกิดจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง หรือต้นทุนที่สูงกว่าคาด หรือการลงทุนที่มากเกินไป