นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) คาดว่ากำไรสุทธิในปี 60 จะทำสถิติสูงสุด (New High) ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5 พันล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการควบรวมกิจการธุรกิจรายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) หรือ SCBT เข้ามาในธนาคารทิสโก้ ซึ่งมีการโอนพอร์ตธุรกิจรายย่อยเข้ามาตั้งแต่ 1 ต.ค. 60 ทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.57 พันล้านบาท หรือเติบโต 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เติบโต 15% เนื่องจากการขยายตัวเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าบางส่วนยังไม่เพิ่มขึ้นจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันหลังควบรวมพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของ SCBT เข้ามาแล้วสินเชื่อรวมของธนาคารจะขยายตัว 11% จากที่ติดลบ 4% ในกรณีที่ยังไม่รวมพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของ SCBT เข้ามา
โดยการรวมพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของ SCBT เข้ามามีมูลค่าราว 3.6 หมื่นล้านบาท ทำให้สินเชื่อคงค้างของธนาคารในปัจจุบันเพิ่มเป็น 2.5 แสนล้านบาท จากเดิมที่ 2.15 แสนล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 60 ธนาคารจะมีสินเชื่อคงค้างรวมอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่ 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วนสินเชื่อของธนาคารหลังการควบรวมจะเปลี่ยนแปลงดังนี้ สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจะเพิ่มเป็น 80% จากเดิมที่ 75% สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยจะลดลงเป็น 14-15% จากเดิมที่ 17% และสัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีจะลดลงเป็น 5% จากเดิมที่ 6-7%
ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารในปีนี้ยังคาดว่าเติบโต 10% สูงขึ้นมากกว่าปีก่อนที่เติบโต 5-6% เป็นผลจากการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านช่องทางธนาคารที่เติบโตดี และรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เช่น ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจบริหารจัดการกองทุนรวม และธุรกิจวาณิชธนกิจและที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งมีการเติบโตตามภาวะตลาดหุ้น และมีบริษัทใหม่ ๆ เข้ามาเตรียมความพร้อมเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น
ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารในสิ้นปี 60 คาดว่าจะทรงตัวในระดับเดียวกับปัจจุบันที่ 2.3% แม้ว่าธนาคารจะมี NPL จากการควบรวมธุรกิจรายย่อยของ SCBT เข้ามา 3% แต่ธนาคารได้ตั้งสำรองฯในส่วนดังกล่าวไว้แล้ว ทำให้ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งแนวโน้มการตั้งสำรองฯในไตรมาส 4/60 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 3/60 ที่ตั้งสำรองไป 611 ล้านบาท เพราะธนาคารมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 185% ในปัจจุบัน ซึ่งสูงกว่าระบบธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยที่ระดับ 130-140%
ส่วนแนวโน้มของสินเชื่อรวมของธนาคารในปี 61 เบื้องต้นคาดว่าจะขยายตัวน้อยกว่า 10% เพราะในปี 61 ธนาคารไม่มีดีลการควบรวมกิจการเข้ามาเช่นเดียวกับปีนี้ ขณะที่ยังมีปัจจัยกดดันจากทิศทางของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เป็นกลุ่มใหญ่ของธนาคารยังคงหดตัวต่อเนื่อง แต่คาดว่าจะหดตัวน้อยกว่าปี 60 แต่มองว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทำให้แนวโน้มในช่วงต่อไปจะเห็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะต้องมีปัจจัยกระตุ้นจากการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน ที่คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในปี 61 ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการขยายตัวของสินเชื่อทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ให้กลับมาดีขึ้น
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มทิสโก้ ในไตรมาส 3/60 มีกำไรสุทธิ 1.57 พันล้านบาท เติบโต 25.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ที่ 4.57 พันล้านบาท เติบโต 23.0% จากความสามารถในการสร้างรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง โดยการขยายตัวในช่วงไตรมาส 3/60 เป็นผลมาจากกลุ่มทิสโก้สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับรักษาความสามารถในการสร้างรายได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 0.5% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 8.5% โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance) และค่าธรรมเนียมธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุน นอกจากนี้ กลุ่มทิสโก้สามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายหนี้สูญลดลง 44.0%
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า การรับโอนธุรกิจรายย่อยจาก SCBT เข้ามาช่วยเสริมให้ทิสโก้มีโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆ รวมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเด่น ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยด้านสินเชื่อ ธนาคารจะขยายการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อบ้าน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นสำหรับลูกค้าที่ต้องการบริหารเงินให้เกิดประโยชน์ อย่างสินเชื่อ Mortgage Saver ที่จะช่วยให้ลูกค้าจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงและบริหารสภาพคล่องได้ในเวลาเดียวกัน โดยลูกค้าสามารถชำระค่างวดเกินกว่าที่ธนาคารกำหนดเพื่อนำมาลดเงินต้นโดยไม่มีค่าปรับและสามารถถอนเงินส่วนที่ชำระเกินออกมาใช้ได้ ช่วยให้เป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น
ส่วนธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ดำเนินการโดยบริษัท ออล-เวย์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มทิสโก้ ได้ใช้บริการธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดให้ดูแลต่อเป็นเวลา 1 ปี โดยจะรักษาฐานลูกค้าและดูแลสิทธิประโยชน์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
“ตอนนี้ทิสโก้มีจุดแข็งด้านผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ารายย่อยได้เป็นอย่างดี และเราจะมุ่งขยายฐานลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสและต่อยอดการเติบโตในธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจด้านการเงินและมองหาผลิตภัณฑ์ที่ให้สิทธิประโยชน์ที่ดีในตลาด ทั้งผลิตภัณฑ์สินเชื่อ การออม การลงทุน ประกันภัย โดยปัจจุบันเรามีสาขา 60แห่ง และในอนาคตเราจะทำตลาด รวมถึงพัฒนาช่องทางต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น"นายศักดิ์ชัย กล่าว