นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในเมียนมา หลังเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้จัดตั้ง บริษัท มิงกะลาบา ฐิติกร ไมโครไฟแนนซ์ จำกัด ขึ้นที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านจ๊าด หรือประมาณ 4.88 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 99% เพื่อดำเนินธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ และธุรกิจทางการเงินรูปแบบอื่น ๆ ที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่กำกับดูแลภายใต้กฎหมายของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมานับเป็นหนึ่งในอีกหลายประเทศที่บริษัทได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุนของ บริษัทไปยังต่างประเทศ โดยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการเติบโต มีประชากรประมาณ 52.89 ล้านคน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ประกอบกับนโยบายเปิดประเทศเพื่อการลงทุนของภาครัฐ ทำให้บริษัทตัดสินใจเข้าไปลงทุนเป็นประเทศล่าสุด
“TK มีความพร้อมที่จะเข้าไปทำธุรกิจในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขณะนี้ TK กำลังอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตประกอบการจากรัฐบาลเมียนมา ทันทีที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาล เราก็พร้อมที่จะเริ่มดำเนินธุรกิจ เพราะได้เตรียมบุคลากร ระบบการทำงาน และสำนักงานไว้เรียบร้อยแล้ว ในด้านเงินลงทุน โดยระยะแรกจะมีทุนจดทะเบียน 4.88 ล้านบาท ในการดำเนินธุรกิจก่อนแล้วค่อย ๆ ทยอยเพิ่มทุนตามขนาดของธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ TK มั่นใจว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก ในขณะที่ผู้บริโภคยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อย" นายประพล กล่าว
นายประพล กล่าวว่า การรุกตลาดสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ถือเป็นการตอกย้ำนโยบายขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเพื่อรองรับนโยบายการเพิ่มสัดส่วนลูกหนี้เช่าซื้อจากต่างประเทศ 50% ภายในปี 63 โดยปัจจุบันได้จัดตั้งบริษัทในต่างประเทศทั้งสิ้น 7 สาขา โดยมี 1 สาขาใน สปป.ลาว ซึ่งได้มีการเพิ่มทุนจำนวน 5,000 ล้านกีบ หรือประมาณ 21 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา โดยจากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 5,250 ล้านกีบ หรือประมาณ 20.81 ล้านบาทนั้น หลังจากเพิ่มทุนแล้วจะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 10,250 ล้านกีบ หรือประมาณ 43.05 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีอีก 6 สาขาในราชอาณาจักรกัมพูชา โดยล่าสุดสามารถเปิดให้บริการครบทั้ง 6 สาขาใน ราชอาณาจักรกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเพื่อเป็นการรองรับการขยายการบริการดังกล่าวทางบริษัทได้พิจารณาเพิ่มทุนจำนวน 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50.3 ล้านบาท โดยทุนจดทะเบียนเดิมมีจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 34.94 ล้านบาท หลังจากเพิ่มทุนแล้วจะมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้นรวม 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 83.83 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการใน สปป.ลาว และราชอาณาจักรกัมพูชานั้น มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ ธุรกิจของบริษัท ในราชอาณาจักรกัมพูชา เติบโตถึง 93% ในขณะที่ธุรกิจใน สปป. ลาวเติบโต 65% ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยมีหนี้เสียในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้สัดส่วนพอร์ตเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 2% ณ สิ้นปีที่แล้วมาเป็น 3% ในครึ่งปีนี้