นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวว่า บริษัทมองทิศทางราคาถ่านหินจะยังดีต่อเนื่องในปีหน้า หลังล่าสุดราคาถ่านหินตลาดญี่ปุ่น อยู่ที่ 97.75 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงขึ้นจากกว่า 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน เมื่อช่วงเดือนมี.ค. เป็นผลจากความต้องการใช้ถ่านหินที่ยังเติบโต ขณะที่ปริมาณถ่านหินจากอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ไม่ได้ผลิตออกมาเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ราคาถ่านหินยังอยู่ในระดับที่ดีและมีเสถียรภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทก็จะยังไม่เน้นการเพิ่มปริมาณการผลิตมากนักในปีหน้า แต่จะเน้นเรื่องคุณภาพเพื่อทำราคาให้ได้ดีที่สุดและเน้นเรื่องการบริหารต้นทุนให้เหมาะสมมากที่สุด โดยในส่วนของต้นทุนการผลิตคงจะไม่ได้ลดลง เพราะอาจจะมีการขุดถ่านหินให้ลึกขึ้นเพื่อให้ได้ปริมาณสำรองที่เพิ่มขึ้น
"ตลาดถ่านหินดีแล้ว ส่วนเราก็ไปตามตลาด แต่เราก็ไม่ได้เน้นการเพิ่มปริมาณ แต่ก็จะเน้นเรื่องคุณภาพและการทำราคาให้ได้ดีที่สุด และเน้นการบริหารต้นทุน คิดว่าจะไม่เร่งทำถ่านหินออกมามากขึ้น ก็จะไป maintain เรื่องกำลังการผลิต และบริหาร cost มีความสมดุลมากที่สุด การที่เราทำต้นทุนระดับหนึ่งทำให้ได้กำไรระดับหนึ่งที่เหมาะสม การเพิ่มต้นทุนก็จะไปเพิ่มมูลค่าระยะยาว เพิ่มปริมาณสำรองก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นมากกว่า"นางสมฤดี กล่าว
นางสมฤดี กล่าวอีกว่า ส่วนการจะเข้าซื้อแหล่งก๊าซธรรมชาติ Marcellus shale ในสหรัฐเพิ่มเติมครั้งล่าสุดนี้นี้ ส่งผลให้บริษัทใช้เงินลงทุนสำหรับผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (shale gas) ไปแล้ว 450 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นกำลังการผลิตเกือบ 76 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน จากเป้าหมายที่จะใช้เงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการลงทุนดังกล่าวเพื่อให้มีกำลังการผลิต 76 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันภายในปี 63 ซึ่งนับว่าสามารถทำได้ใกล้ตามแผนแต่ใช้งบประมาณน้อยกว่า
สำหรับดีลการลงทุน shale gas ล่าสุดนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพ.ย. ทำให้คาดว่าภายในปีนี้คงจะไม่มีดีลลงทุน shale gas เพิ่มเติม ส่วนงบประมาณที่เหลือคงจะต้องนำไปพิจารณาในปีหน้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการปรับแผนลงทุนใหม่สำหรับแผนงบประมาณปี 60 ซึ่งจะแล้วเสร็จในปลายเดือนต.ค.
พร้อมกันนี้ก็ยังอยู่ระหว่างจัดทำแผน 5 ปีใหม่ (ปี 64-68) ซึ่งเป็นแผนต่อเนื่องจากแผน 5 ปี (ปี 59-63) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่เดิมที่ตั้งงบลงทุนสำหรับธุรกิจไฟฟ้าและถ่านหินรวม 554 ล้านเหรียญสหรัฐ และการลงทุนใน shale gas ครั้งแรกในวงเงิน 112 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแผนการลงทุนดังกล่าวจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการในเดือนธ.ค.60
ทั้งนี้ การเติบโตของบริษัทต้องดูการเติบโตในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับถ่านหิน ซึ่งก็จะต้องมีการเฉลี่ยงบประมาณการลงทุนให้เหมาะสม ซึ่งอยู่ภายใต้แผนกลยุทธ์ของบริษัท
ด้านการดำเนินโครงการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) แบบครบวงจรภายใต้บริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยนั้น เชื่อว่าจะสามารถมีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ครบ 80 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ จากเดิมวางเป้าจะดำเนินการได้ภายในปีหน้า หลังล่าสุดได้เข้าซื้อหุ้น 25.7% ใน บริษัท Sunseap Group Pte Ltd. (Sunseap) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการพลังงานสะอาดแบบครบวงจร ในสิงคโปร์ ทำให้มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุนเข้ามา 47 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันก็ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาแล้ว โดย Sunseap มีแผนการเติบโตที่ก้าวกระโดดจากฐานลูกค้าที่มีอยู่มาก ขณะที่ปัจจุบันบ้านปู อินฟิเนอร์จี สามารถหาลูกค้าได้เพิ่มขึ้น โดยมีลูกค้าในมือที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญากว่า 20 ราย ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตได้ครบ 80 เมกะวัตต์ภายในปีนี้