นางภรณี ทองเย็น อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์ และรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในปี 61 ที่ 1,810 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากความชัดเจนในการจัดการเลือกตั้งช่วงปลายปีหน้า รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่มีโอกาสเติบโตเกิน 4% จากปีนี้ที่คาดว่าเติบโต 3.61% จากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีขึ้น หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงมองแนวโน้มกระแสเงินทุนยังมีโอกาสไหลเข้าได้เพิ่มขึ้นอีก
แต่ยังต้องติตดามสถานการณ์ดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้ออยู่ในช่วงขาขึ้น หากอัตราดอกเบี้ยนโนบายของไทยยังอยู่ในระดับต่ำต่อไปอาจจะมีผลกดดันให้มีกระแสเงินทุนไหลออกไปได้บ้าง โดยคาดว่าภายในครึ่งแรกของปี 61 จะมีกระแสเงินทุนจากต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยราว 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดซื้อสะสมอยู่ที่ 1.6-1.7 แสนล้านบาท เพราะปัจจัยหนุนจากการเลือกตั้ง และเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล
ขณะที่กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในปี 61 คาดว่าจะอยู่ที่ 110 บาท/หุ้น และหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตสูงในปี 61 มองว่าเป็นหุ้นกลุ่มค้าปลีก กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหาร และกลุ่มสื่อสาร
สำหรับ SET Index ในไตรมาส 4/60 คาดว่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์อัพ โดยคาดว่าจะแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,750 จุด ซึ่งอาจจะมีแรงขายออกมาในระหว่างทางบ้าง และทำให้สิ้นปี 60 ดัชนี SET จะอยู่ที่ระดับ 1,700 จุด โดยนักวิเคราะห์และผู้จัดการลงทุนได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเป็น 44% จากเดิมที่ 42% ถือว่าเป็นสัดส่วนการลงทุนที่สูงสุดในพอร์ต
นอกจากนี้ ยังปรับเพิ่มน่ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มเป็น 18% จากเดิม 14% หลังเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทั้งในระยะสั้นและกลาง ทำให้มีกระแสเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ไทยอย่างต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนในทองคำจะมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 10% ส่วนลงทุนหุ้นต่างประเทศอยู่ที่ 18% และส่วนที่เหลือเป็นการถือเงินสดและอื่น เช่น กองทุนน้ำมัน หรือกองทรัสต์ เป็นต้น
ด้านราคาทองคำยังมองว่ามีทิศทางการปรับตัวลดลง ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/60 มองราคาเป้าหมายของราคาทองคำเฉลี่ย ณ สิ้นปีนี้ อยู่ที่ 20,129 บาท เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยของโลกมีแนวโน้มขาขึ้น และขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นช่วงขาขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนทิศทางผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield) ยังมองว่ายังทรงตัว