ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) แจงกำไรสุทธิไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของธนาคารและบริษัทย่อย ในไตรมาส 3/60 เท่ากับ 1,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.4% เมื่อเทียบไตรมาส 2/60 และหากเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/59 เพิ่มขึ้น 1.9%
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 60 เปรียบเทียบกับงวด 9 เดือนปี 59 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 4,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% จากงวดเดียวกันของปี 59
ณ สิ้นไตรมาส 3/60 มียอดสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและค่าเผื่อการปรับมูลค่าจากการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวน 10,892 ล้านบาท โดยมียอดสำรองทั่วไปทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท อัตราส่วนสำรองทั้งสิ้นต่อสำรองตามเกณฑ์เท่ากับ 185.4% เปรียบเทียบกับ 181.6% ณ สิ้นไตรมาส 3/59 และมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับ 105.6% เพิ่มขึ้นจาก 105.4% ณ สิ้นไตรมาส 3/59
ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 59 อยู่ที่17.12% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.87% แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 3/60 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 18.19% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 14.95%
ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของธนาคารเกียรตินาคินในไตรมาส 3/60 สินเชื่อของธนาคารขยายตัวที่ 0.2% จากสิ้นไตรมาส 2/60 ส่งผลให้สินเชื่อรวมของธนาคารขยายตัวที่ 4.4% เมื่อเทียบสิ้นปี 59 ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ ปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพรวมมีการปรับตัวลดลงจากสิ้นไตรมาส 2/60 ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/60 อยู่ที่ 5.6% ลดลงจาก 5.8% ณ สิ้นไตรมาส 2/60
ด้านธุรกิจตลาดทุน บล.ภัทร ดำเนินธุรกิจให้บริการเป็นนายหน้าซื้อขายหลกัทรัพย์และตราสารอนุพันธ์แก่ลูกค้าประเภทสถาบันทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ภายใต้บริการ Private Wealth Management สำหรับไตรมาส 3/60 บล.ภัทร มีส่วนแบ่งตลาด 4.65% เป็นอันดับที่ 5 จากจำนวนบริษัทหลักทรัพยท์ 37 แห่ง ส่วนธุรกิจวานิชธนกิจ (Investment Banking Business) มีรายได้รวม 73 ล้านบาท