ทิสโก้ แนะจับตาเลือกประธานเฟดคนใหม่ หวั่นพลิกโผหนุนดอลล์แข็งค่า กดดันเงินไหลออก

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 24, 2017 07:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในระยะนี้ตลาดกำลังจับตาว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะเลือกเสนอรายชื่อใครเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ ซึ่งปัจจุบันนายทรัมป์ เริ่มวางตัวเลือกว่าที่ประธานเฟดไว้ 5 คน ได้แก่ 1. นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน 2. นายแกรี โคห์น ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล 3. นายเจอโรม พาวเวล คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ 4. นายเควิน วอร์ช อดีตคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ ปี 2549-2554 และ 5. นายจอห์น เทย์เลอร์ ซึ่งเป็นผู้คิดกฏ Taylor rule และเคยอยู่ทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลสมัยประธานาธิบดี George H. W. Bush, Ford และ Carter

ทั้งนี้ คาดว่านายทรัมป์ จะเสนอชื่อว่าที่ประธานเฟดคนใหม่ต่อวุฒิสภาได้ภายในวันที่ 3 พ.ย.60 และประเมินว่าน่าจะได้รับการเห็นชอบจากวุฒิสภาได้ใน 2-3 เดือน ซึ่งประธานเฟดคนใหม่จะมาทำหน้าที่แทนนางเยลเลน ที่จะครบวาระในวันที่ 3 ก.พ.61 โดยตลาดคาดว่านายพาวเวล ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการเฟด อยู่แล้วในปัจจุบัน น่าจะมีโอกาสขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเฟด แทนนางเยลเลน มากที่สุด

“หากเป็นไปตามคาด ตลาดหุ้นน่าจะตอบรับในเชิงบวก เนื่องจากนายพาวเวล น่าจะยังสนับสนุนให้เฟด ขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไป และทิศทางนโยบายการเงินก็จะมีความต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน หากประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจเสนอชื่อนายวอร์ช หรือนายเทย์เลอร์ ซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นตลาดการเงินอาจผันผวนได้ เนื่องจาก นักลงทุนจะต้องกลับมาประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดกันใหม่ ดังนั้น ในช่วงนี้จึงแนะนำนักลงทุนทยอยTake Profit หุ้นไทยและต่างประเทศ และถือเงินสดรอความชัดเจนของนโยบายดอกเบี้ย เพราะที่ผ่านมาหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นมากหลังจาก ตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง "นายคมศร กล่าว

นายคมศร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามหากนายวอร์ช หรือนายเทย์เลอร์ ได้รับการแต่งตั้ง เฟดก็อาจมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้น และ Bond Yield ในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นต่อไป นอกจากนี้ หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นเร็ว ก็อาจจุดชนวนให้เกิดการขายสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมไปถึงตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทยด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ