(เพิ่มเติม) ADB เคาะราคาขาย IPO ที่ 1.69 บ./หุ้น เปิดจอง 1-3 พ.ย. เทรด mai 9 พ.ย.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 31, 2017 13:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการจำหน่ายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบมจ.แอ็พพลาย ดีบี (ADB) ว่า กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ราคา 1.69 บาท/หุ้น โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 1-3 พ.ย.60 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 9 พ.ย.

โดยหุ้น IPO ของ ADB ที่จัดจำหน่ายในครั้งนี้จำนวน จำนวน 180 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทจะนำไปใช้ซื้อเครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณ์ผลิตสินค้าเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต ชำระเงินกู้จากสถาบันการเงิน ใช้ลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

นอกจากนี้ยังมั่นใจว่าการเสนอขาย IPO ของ ADB ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี จากความมั่นใจในศักยภาพของธุรกิจที่มีการเติบโตขึ้นในอนาคต ที่มาจากจุดแข็งของบรัทในเรื่องการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งมีทีมงานที่มีประสบการณ์ร่วมงานกับบริษัทมานานกว่า 12 ปี พร้อมทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะราย ทำให้เป็นจุดเด่นสำคัญของบริษัทที่ช่วยเพิ่มขีดควาสามารถในเชิงการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์ของบริษัท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กาว ผลิตภัณฑ์ยาแนว และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ มีความต้องการใช้จากลูกค้าในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าตลาดที่สูง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ซึ่งบริษัทถือว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าที่ดีและมีความหลากหลาย จึงมีคู่แข่งขันที่สามารถผลิตสินค้าในระดับเดียวกันเพียงไม่กี่รายและมีศักยภาพในการขยายตลาดที่คู่แข่งขันอาจยังไม่สามารถเข้าถึงได้

นายหวัง วนาไพรสณฑ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ADB กล่าวว่า แผนการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันอยุ่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จ.สมุทรปราการ เพื่อผลิตสินค้าใหม่กบุ่มผลิตภัณฑ์กาวและยาแนวรองรับแผนการขยายฐานลูกค้าใหม่ แบ่งเป็นการผลิตสินค้าใหม่ ได้แก่ ซิลิโคนยาแนว และโดมดิฟายซิลิโคนพอลิเมอร์สำหรับยาแนว และเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ อะคริลิกยาแนว และกาวแทนตะปู โดยมีกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามารวมทั้งสิ้น 13,590 ตัน/ปี คาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 230 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มเปิดการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 4/61 และคาดว่าจะใช้กำลังการผลิตเต็มที่ได้ภายในปี 63

บริษัมมองว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มยาแนวถือว่ามีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีอยู่ที่ 24-25% ซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14-15% โดยบริษัทจะพยายามผลักดันสัดส่วนรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาแนวให้สูงขึ้นมากกว่า 50% ภายในปี 63 จากปัจจุบันที่สัดส่วนรายได้ระหว่างกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์อยุ่ในระดับที่เท่ากัน เพื่อเป็นการผลักดันในผลการดำเนินงานมีการเติบโตที่มากขึ้นในอนาคต

ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซีเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์ รองรับเทรนด์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วยสร้างเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกฮาโลเจนฟรีเพื่อใช้ผลิตสายไฟที่ก่อให้เกิดควันและสารพิษต่ำเมื่อถูกไฟไหม้ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานผลิตภัณฑ์จากพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่ารายได้จะใกล้เคียงหรือลดลงเล็กน้อยจากปี 59 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1.41 พันล้านบาท ขณะที่คาดราคาวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้ที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะวัตถุดิบของเม็ดพลาสติกคอมปาวด์ แต่บริษัทได้มีการแก้ไขปัญหาโดยการหันมาเน้นการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว

ประกอบกับการปรับเพิ่มราคาสินค้าบางรายการที่ได้รับผลกระทบของราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับต้นทุน แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มของผลการดำเนินของบริษัทในไตรมาส 4/60 คาดว่าจะไม่โดดเด่นมาก เพราะเป็นโลว์ซีซั่นของอุตสาหกรรมที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์กาว ยาแนว และเม็ดพลาสติกคอมปาวด์ที่ชะลอตัว

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าแนวโน้มของผลการดำเนินงานในปี 61 จะกลับมาเติบโตขึ้น หลังจากที่บริษัทหันมาเน้นการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นมากขึ้น และคาดว่าผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่มีความผันผวนจะเริ่มคลี่คลายลง และการเริ่มเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ของโรงงานแห่งใหม่ที่จ.สมุทรปราการในช่วงไตรมาส 4/61 จะเข้ามาเสริมกำลังการผลิตในช่วงปลายปี 61


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ