ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ ITD ที่ "BBB-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 31, 2017 16:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD)ที่ระดับ “BBB-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่มั่นคงของบริษัทในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในความสามารถในการรับงานก่อสร้างหลากหลายประเภท การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมากและมีความหลากหลาย ตลอดจนแนวโน้มในเชิงบวกของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอและภาระหนี้ที่สูงของบริษัท รวมถึงความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการระยะยาว และลักษณะที่เป็นวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

อันดับเครดิตของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีผลงานที่ยาวนานและเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศ บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีรายได้สูงสุดซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทมีรายได้อยู่ในช่วง 45,000-50,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในโครงการภาครัฐและเอกชน ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรที่มีอยู่ช่วยทำให้บริษัทสามารถรับงานก่อสร้างได้หลากหลายประเภท บริษัทรับงานก่อสร้างทั่วประเทศซึ่งช่วยให้บริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย นอกจากงานก่อสร้างในประเทศแล้ว บริษัทยังหาโอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ไปยังต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้า ประเภทงาน และทำเลที่ตั้งโครงการ

รายได้จากโครงการรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60%-70% ขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากต่างประเทศ โดยรายได้จากต่างประเทศส่วนใหญ่มาจากโครงการก่อสร้างในประเทศอินเดียผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อยคือ ITD Cementation India Limited

สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาสอดคล้องกับประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง โดยรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 เท่ากับ 25,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 อยู่ที่ 10.8% เพิ่มขึ้นจาก 8.5% ในปี 2559 เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างในต่างประเทศที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า

ทริสเรทติ้งยังคงมองแนวโน้มในเชิงบวกสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โครงการต่าง ๆ ของภาครัฐซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในการประมูลงาน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 บริษัทชนะงานประมูลได้ลงนามในสัญญาใหม่แล้วมูลค่ารวม 48,018 ล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งให้ความสำคัญกับความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ประกอบกับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิตในระดับปัจจุบันของบริษัท

การคงอันดับเครดิตยังคำนึงถึงโครงการที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและมีความหลากหลายของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 266,885 ล้านบาท โดยมูลค่างานดังกล่าวรวมโครงการสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิกมูลค่า 114,000 ล้านบาท รวมถึงโครงการสัมปทานทางด่วนในประเทศบังคลาเทศมูลค่า 37,600 ล้านบาท ซึ่งงานก่อสร้างหลักของทั้ง 2 โครงการยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ อีกทั้งในมุมมองของทริสเรทติ้งโครงการดังกล่าวจะยังไม่สามารถเริ่มงานได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากไม่นับรวมโครงการสัมปทานในประเทศโมซัมบิกและโครงการทางด่วนในประเทศบังคลาเทศแล้ว บริษัทยังสามารถสร้างรายได้จากโครงการที่ยังไม่ส่งมอบที่เหลือมูลค่า 115,500 ล้านบาท โดยรวมโครงการเหมืองหงสาในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมูลค่า 21,200 ล้านบาทซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงปี 2558-2572 ด้วย มูลค่างานในมือของบริษัทจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ประมาณ 80% ของรายได้ในปี 2560-2561 ประมาณ 64% ในปี 2562 และ 40% ในปี 2563

ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนลงจากสถานะทางการเงินของบริษัทที่ค่อนข้างอ่อนแอ ภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมากเพื่อใช้ในการดำเนินงานโครงการก่อสร้าง โดย ณ เดือนมิถุนายน 2560 ภาระหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ 37,621 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากระดับ 32,652 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ เดือนมิถุนายน 2560 ของบริษัทเท่ากับ 72.2% เพิ่มจาก 71% ณ สิ้นปี 2559

อีกทั้งบริษัทยังมีภาระดอกเบี้ยจ่ายมากกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปีซึ่งส่งผลเร่งให้ขาดทุนได้หากบริษัทมีผลขาดทุนจากงานก่อสร้างหรือมีอัตรากำไรที่หดตัวลง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.5 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ 6.5% ในปี 2559 และเพิ่มขึ้นเป็น 7.5% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560

ภาระหนี้จำนวนมากของบริษัทเกิดจากเงินลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งบริษัทวางแผนจะเพิ่มรายได้จากโครงการลงทุนระยะยาว 5 โครงการ ได้แก่ โครงการเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย โครงการนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า โครงการทางด่วนในประเทศบังคลาเทศ โครงการเหมืองแร่ Bauxite และโรงงาน Alumina ในประเทศลาว และโครงการสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีการรับรู้รายได้จากการก่อสร้างหรือมีรายได้จากโครงการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้าในโครงการเหมืองแร่โปแตชและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้บริษัทลงทุนไปแล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท

ทริสเรทติ้ง คาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ระดับสูง จากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ในขณะที่บริษัทยังไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะอันใกล้นี้ ภาระหนี้ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิต อีกทั้งบริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะความเสี่ยงของประเทศที่เข้าไปลงทุน รวมทั้งความเสี่ยงด้านกฎระเบียบซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อประโยชน์จากการลงทุน เช่นเดียวกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างอื่น ๆ บริษัทต้องเผชิญกับวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ทั้งนี้ ในช่วงวัฏจักรขาลงจะส่งผลกระทบต่อกระแสรายได้ของบริษัทด้วยเช่นกัน

ในช่วงปี 2560-2563 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ (ไม่รวมรายได้จากโครงการระยะยาว 5 โครงการ) อยู่ในช่วง 50,000-60,000 ล้านบาทต่อปี โดยงานที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากช่วยรักษาระดับรายได้ในปี 2560 และ 2561 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่และโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่สูงกว่า 8.5% อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ประมาณ 70% หรืออัตราส่วนเงินกู้ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.3 เท่า ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาของหุ้นกู้ บริษัทน่าจะสามารถสร้างกระแสเงินทุนจากการดำเนินงานได้อย่างน้อย 3,000 ล้านบาทต่อปี ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับ 2,500-3,000 ล้านบาทต่อปี

บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวรวม 6,361 ล้านบาทและมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 6,777 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้ามีจำนวนประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้าง ซึ่งมีกำหนดชำระคืนตามความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้าง ในช่วงปี 2560-2563 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะสูงกว่า 8% ขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถประมูลงานใหม่จำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องทางการเงินเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถเพิ่มความเข้มแข็งของโครงสร้างเงินทุนซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินงานในโครงการลงทุนระยะยาวได้ ขณะที่ยังคงรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทให้อยู่สูงกว่า 8.5% และยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขของการกู้ยืมเงินได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

จากสถานะการเงินที่ค่อนข้างอ่อนแอของบริษัททำให้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด จากภาระหนี้ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงถดถอยจนเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่า 7% หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมต่ำกว่า 5% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ