โบรกฯแนะ"ซื้อ" MINT คาดกำไรปกติ Q3/60 โตแข็งแกร่ง รับผลบวกธุรกิจโรงแรมสดใสชดเชยธุรกิจอาหารชะลอ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 31, 2017 16:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) หลังคาดการณ์กำไรปกติในช่วงไตรมาส 3/60 จะเติบโตแข็งแกร่ง จากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก หลังยอดนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในไทยเพิ่ม รวมถึงเป็นช่วงไฮซีซั่นในโปรตุเกส ส่งผลดีต่อโรงแรม Tivoli ด้วย ผลักดันให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยชดเชยธุรกิจอาหารที่ยังถูกกระทบจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า
ขณะที่มองผลการดำเนินงานยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 4/60 จนถึงในปี 61 จากช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และปี 61 จะเป็นปีเริ่มต้นของการเก็บเกี่ยวการไปลงทุนหนักในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงการปรับปรุงโรงแรมต่าง ๆ ที่แล้วเสร็จในปีนี้ ตลอดจนสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการบริโภคก็จะช่วยหนุนต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจอาหารให้ดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้การที่นักลงทุนจะใช้สิทธิแปลงสภาพ MINT-W5 รอบสุดท้ายในเดือนพ.ย. นี้ ก็จะทำให้ MINT ได้รับเงินสดเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะนำเงินดังกล่าวไปชำระหนี้ใกล้ครบกำหนดในปีนี้ ช่วยลดระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) และลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลง รวมถึงยังเป็นการเปิดโอกาสสำหรับเข้าซื้อกิจการใหม่เพิ่มเติมในอนาคต

ราคาหุ้น MINT ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 43.25 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 0.16%

          โบรกเกอร์                 คำแนะนำ              ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ซื้อ                    51.00
          บัวหลวง                      ซื้อ                    46.00
          ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ              ซื้อ                    46.00
          ทรีนีตี้                    ซื้อเมื่ออ่อนตัว                44.15
          ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                    48.00
          หยวนต้า (ประเทศไทย)          ซื้อ                    52.50

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า คงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น MINT เนื่องจากมองว่าช่วงไตรมาส 3/60 กำไรปกติจะอยู่ที่ 1,192 ล้านบาท เติบโตได้แข็งแกร่ง 61.8% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า และ 20.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยจะเป็นการเติบโตจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก โดยเฉพาะโรงแรมในประเทศไทย ที่เติบโตอย่างโดดเด่นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของโปรตุเกส ส่งผลดีต่อโรงแรม Tivoli ในโปรตุเกสด้วย โดยธุรกิจโรงแรมที่เติบโตช่วยชดเชยธุรกิจอาหารที่ถูกกระทบจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้าและทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) มีโอกาสที่จะติดลบราว 1%

ทั้งนี้ ทิศทางผลประกอบการอีก 2 ไตรมาส ข้างหน้ายังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยซึ่งมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่ดี ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารคาดว่ามีโอกาสเห็นยอดขายสาขาเดิมพลิกกลับมาเป็นบวกได้ โดยคาดว่าในปี 60-61 กำไรปกติจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง ที่ 5,649 ล้านบาท เติบโต 23.4% และ 6,500 ล้านบาท เติบโต 15.1% และยังมี Upside จากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของ MINT ในการเติบโต

บทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ปรับคำแนะนำสำหรับหุ้น MINT จาก"เก็งกำไรซื้อ"เป็น"ซื้อ"ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 52.50 บาท จากคาดกำไรปกติในไตรมาส 3/60 ที่ระดับ 1,040 ล้านบาท เติบโต 16% จากงวดปีก่อน และเติบโต 42% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรม Tivoli โดดเด่น ในช่วงไฮซีซั่นของโปรตุเกส

นอกจากนี้แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 ยังจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี จากกลุ่มธุรกิจในประเทศทั้งโรงแรมและอาหาร ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และสัญญาณฟื้นตัวของภาคการบริโภค แม้จะปรับลดประมาณการปี 60-61 แต่กำไรปกติปี 61 คาดว่าจะขยายตัวโดดเด่น 18% จากปีนี้ และเป็นอัตราที่สูงสุดในกลุ่มโรงแรม สวนทางกับราคาหุ้นที่ Laggard

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การฟื้นตัวของ MINT จะเร่งตัวขึ้นนับตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไปจากปัจจัยบวกที่รออยู่ข้างหน้า ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมในเครือ Tivoli จะเริ่มให้บริการได้หลังจากการปรับปรุงแล้วเสร็จทันช่วงไฮซีซั่น ในโปรตุเกสในไตรมาส 3/60 และอีก 3 แห่งที่เหลือจะเสร็จในครึ่งแรกปี 61 ซึ่งจะทำให้ RevPar ปรับขึ้นได้ต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 61

ธุรกิจอาหารโดยเฉพาะฮับไทยที่ SSSG ติดลบในช่วงไตรมาส 2/60 นั้นส่วนหนึ่งมีผลมาจากฐานที่สูงในไตรมาส 2/59ซึ่งมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเข้าช่วย แต่คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ระดับปกติและกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 3/60 ก่อนที่การบริโภคในประเทศจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในไตรมาส 4/60 ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มผลดำเนินงานที่จะดีขึ้นชัดเจนเทียบรายไตรมาสนับจากนี้ ทำให้คาดว่ากำไรปกติปี 60 ขยายตัว 21% จากปีก่อน

นอกจากนี้การที่นักลงทุนจะใช้สิทธิแปลงสภาพ MINT-W5 รอบสุดท้ายในเดือนพ.ย. นี้ จำนวน 187 ล้านสิทธิ ที่ราคาใช้สิทธิ 36.36 บาท อัตราส่วน 1 : 1.1 จะทำให้ MINT ได้เงินสด 7,700 ล้านบาท โดยคาดว่าเงินดังกล่าวจะนำไปชำระหนี้ที่ใกล้ครบกำหนดในปีนี้ราว 7,400 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจากปัจจุบันราว 1.3 เท่า เหลือเพียง 0.7 เท่า ในระยะสั้นจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลง 300 ล้านบาท/ปี และยังเป็นการเปิดโอกาสสำหรับเข้าซื้อกิจการใหม่เพิ่มเติมในอนาคต

ขณะที่ Dilution effect ที่เกิดขึ้น 5% ตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น 205 ล้านหุ้น จะถูกชดเชยด้วยการเติบโตของกำไรปกติในปี 61 ตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวทั้งในและต่างประเทศ

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น MINT ที่ Laggard เมื่อเทียบกับกลุ่มโรงแรมด้วยกัน ซึ่งเห็นว่าจะเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะนอกจากธุรกิจโรงแรมในไทยที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว คาดว่าปี 61 จะเป็นปีเริ่มต้นของการเก็บเกี่ยวการไปลงทุนหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และการปรับปรุงโรงแรมต่าง ๆ ในปี 60

ขณะที่โรงแรมในต่างประเทศจะเติบโตดีขึ้นมาก สินทรัพย์หลักที่เข้าไปลงทุนต่างประเทศ คือ โรงแรม Tivoli ในบราซิล และโปรตุเกส และเป็นรายได้หลักจากต่างประเทศของ MINT ขณะที่ RevPar มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก หลังมีการเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าจากที่เน้นยุโรปมาเป็นโปรตุเกสที่มีเสถียรภาพมากกว่า การปรับปรุงตกแต่งโรงแรมให้สวยงามและมีการ re-branding จึงคาดว่าโรงแรมที่โปรตุเกสจะให้ผลกำไรที่ดีมากใน 1-2 ปีข้างหน้านี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ