หุ้น LANNA ราคาพุ่งขึ้น 10.42% มาอยู่ที่ 15.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 220.43 ล้านบาท เมื่อเวลา 15.35 น. โดยเปิดตลาดที่ 15.80 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 16.20 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 15.30 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ด้วยเหตุผล 1) LANNA ใช้กลยุทธ์การทำธุรกิจถ่านหินด้วยการขายในราคา Spot แต่ล็อกปริมาณคำสั่งซื้อ ทำให้ LANNA ได้ประโยชน์เต็มที่กับทิศทางราคาถ่านหินที่เป็นขาขึ้น 2) TAE แม้จะต้องหยุดการผลิตไปครึ่งไตรมาสใน Q4/60 แต่ผลกระทบแทบไม่มีนัยสำคัญต่อ LANNA 3) จับตาการก้าวขึ้นมาเป็นผู้ร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาด 200MW ในอินโดนีเซียที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ คาดได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ และ 4) หากเทียบกับ BANPU เชื่อว่า LANNA มีความโดดเด่นเหนือกว่าทั้งในแง่ของการเติบโต / Valuation / Dividend Yield
LANNA เป็นหนึ่งในผู้ร่วมยื่นข้อเสนอเป็นผู้ผลิตโรงไฟฟ้าหน้าเหมืองขนาด 200MW ในอินโดนีเซีย คาดว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะสรุปแผนดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้ โดยโครงกล่าวดังกล่าวจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้จริงในปี 65 หาก LANNA ได้รับโอกาสดังกล่าว เบื้องต้นเราคาดว่ากำไรจากโครงการนี้จะส่งกลับมา LANNA ราว 75 ล้านบาท/ปี และยอดขายถ่านหิน LANNA จะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านตัน/ปี คิดเป็นกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท ช่วยเพิ่มราคาเหมาะสมให้ LANNA อีก 3 บาท ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่รวมในประมาณการ
กำไร H1/60 ของ LANNA ที่ 301.62 ล้านบาท มากกว่ากำไรทั้งปีของปี 59 ผลักดันด้วยธุรกิจถ่านหินถึง 81% และที่เหลือเป็นธุรกิจเอทานอลผ่านบริษัทย่อย TAE เมื่อราคาถ่านหินโลกทรงตัวในระดับ อย่างน้อยไปอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ณ ปัจจุบัน FWD Price 3M ของถ่านหินนิวคาสเซิลเท่ากับ $96/ตัน เทียบกับปัจจุบันที่ $97/ตัน สนับสนุนด้วยผลของฤดูกาลที่ต้องการใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในจีนและอินเดีย
ขณะที่จีนมีนโยบายการปิดเหมืองถ่านหินคุณภาพต่ำภายใต้ระดับสต็อกถ่านหินที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 14.8 วัน จากเฉลี่ย 20.6 วัน เช่นเดียวกับอินเดียที่ประสบปัญหาระดับสต็อกถ่านหินอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน ขณะที่ LANNA มีนโยบายการขายถ่านหินตามราคา Spot จึงได้อานิสงส์เชิงบวกจากราคาถ่านหินขาขึ้นนี้ พร้อมประเมินกำไรสุทธิของ LANNA ในปีนี้เท่ากับ 593.56 ล้านบาท (+118.7%YoY) และขยับขึ้นเป็น 711.31 ล้านบาท (+19.9%) ในปีหน้า