หุ้น TITLE ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 4.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.80 บาท (+81.82%) จากราคาขาย IPO 2.20 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 486.70 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 5.40 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 5.50 บาท และราคาลงต่ำสุด 3.92 บาท
นายศศิพงษ์ ปิ่นแก้ว กรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการสายงานวางแผนและควบคุม บมจ.ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ (TITLE) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดรายได้ปี 61 จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด จากปีนี้คาดว่ารายได้จะทรงตัวจากปี 59 ที่ราว 360 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 690 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 190 ล้านบาท และส่วนใหญ่อีก 500 ล้านบาทจะทยอยรับรู้ฯในปี 61
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีที่ดินที่รองรับการพัฒนาโครงการใหม่อีก 1 แปลง ขนาด 2 ไร่ ในหาดในยาง และหาดราไวย์ ขนาด 12 ไร่ ซึ่งจะสามารถรองรับการเติบโตของบริษัทได้ในอีก 6 ปีข้างหน้า
ขณะที่การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม The Title Residencies Naiyang Phuket เฟส 2 (The Title หาดในยาง เฟส 2) จำนวน 220 ยูนิต มูลค่าโครงการ 645 ล้านบาท เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับค่อนข้างดี
นายศศิพงษ์ กล่าวว่า บริษัทโครงการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตมูลค่ารวมประมาณ 650 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม The Title Phuket หาดราไวย์ เฟส 5 Zone 1 (The Title หาดราไวย์ เฟส 5 โซน 1) มูลค่า 300 ล้านบาท คาดเปิดขายในปี 61 และ โครงการคอนโดมิเนียม The Title Phuket หาดราไวย์ เฟส 5 Zone 2 (The Title หาดราไวย์ เฟส 5 โซน 2) มูลค่า 350 ล้านบาท คาดเปิดขายในปี 62
บริษัทยังตั้งเป้าที่จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 40% หลังจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำได้เฉลี่ยในระดับ 50% เนื่องจากบริษัทสามรถบริหารจัดการต้นทุนด้านการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างที่ทำให้สามารถลดต้นทุนได้สูงถึง 15-20% เมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
ด้านความเสี่ยงของบริษัทฯมีเพียงสถานการณ์การท่องเที่ยวเท่านั้น เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อโครงการนั้นมาจากต่างประเทศมากกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมด และกระจายไปในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก
"วันนี้ราคาหุ้นได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เรามองว่าเป็นผลมาจาก บริษัทมีที่ตั้งโครงการที่ดี ราคาขายไม่สูง และมีส่วนกลางมากว่า 50% ในทุกๆโครงการ บริษัทยังมีทีมจัดซื้อวัสดุก่อสร้างทำให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ขณะที่มาของรายได้เป็นสัดส่วนต่างประเทศมากกว่า 80% ทำให้ความเสี่ยงต่างๆค่อนข้างต่ำ ซึ่งหลังจากนี้เราก็จะยังรักษาการเติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่ดีต่อไป"นายศศิพงษ์ กล่าว