ทริสคงอันดับเครดิตองค์กร LOXLEY ที่ระดับ "BBB+" หุ้นกู้คงระดับ "A-" แนวโน้มคงที่

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 6, 2017 10:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) ที่ระดับ “BBB+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทที่ระดับ “A-"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่บริษัทมีธุรกิจที่หลากหลายและความสัมพันธ์ที่ยาวนานทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดจำนวนมากที่ได้รับจากเงินปันผลจากบริษัทร่วมที่มีผลกำไรด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนลงจากการที่บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่ค่อนข้างต่ำและรายได้ที่ผันผวนซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากงานโครงการ

LOXLEY มีสถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับที่น่าพอใจเนื่องจากบริษัทมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายจากธุรกิจหลายประเภทซึ่งช่วยลดความผันผวนของรายได้ลง บริษัทก่อตั้งในปี 2482 โดยประกอบธุรกิจที่หลากหลายผ่านการถือหุ้นทั้งหมดหรือถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทย่อยต่าง ๆ บริษัทให้บริการและจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายโดยแบ่งสายธุรกิจหลักออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) สายธุรกิจเทคโนโลยี (2) สายธุรกิจการค้า และ (3) สายธุรกิจบริการ บริษัทเป็นทั้งผู้ให้บริการและลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าหลายแห่ง บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเหล่านี้ช่วยขยายขอบเขตกิจการของบริษัทออกไปในหลาย ๆ ธุรกิจ เช่น การผลิตและจำหน่ายน้ำมันเครื่อง เหล็กแผ่นเรียบเคลือบโลหะและเคลือบสี สายใยแก้วนำแสง และอื่น ๆ เป็นต้น

บริษัทมีรายได้จากสายธุรกิจเทคโนโลยีคิดเป็นสัดส่วนหลักของรายได้ทั้งหมดโดยคิดเป็น 61% ของรายได้รวมในปี 2559 และเพื่อที่จะรับมือกับความผันผวนของรายได้และกำไรของงานโครงการ บริษัทจึงพยายามสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เพิ่ม โดยในปี 2559 รายได้ประจำของบริษัทมาจากสายธุรกิจการค้าและสายธุรกิจบริการซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวม 39% ของรายได้ทั้งหมดในปีดังกล่าว

อันดับเครดิตของบริษัทได้รับแรงหนุนจากการมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานทั้งกับลูกค้าและผู้ผลิตและจำหน่ายด้วย โดยบริษัทมีชื่อเสียงที่ดีในตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าภาครัฐหลายแห่งจากการมีประวัติผลงานในโครงการจำนวนมากที่สำเร็จลุล่วง บริษัทมีคณะผู้บริหารและพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ โดยพนักงานของบริษัทผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีและมีความสามารถในการให้บริการและจำหน่ายสินค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างมีคุณภาพในระดับสูง

นอกจากนี้ การมีความชำนาญทางเทคนิคในระดับสูงของพนักงานยังช่วยสร้างนวัตกรรมหรือเพิ่มโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ให้แก่บริษัทอีกด้วยแม้ว่าจะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานจำนวนมากก็ตาม ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถชนะการประมูลงานภาครัฐได้อยู่เสมอ ปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถรับงานได้เพิ่มขึ้นในขณะที่ยังคงจำนวนพนักงานเท่าเดิม นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะยกเลิกบางธุรกิจที่ไม่ทำกำไรด้วย

บริษัทได้รับเงินปันผลในระดับที่น่าพอใจจากบริษัทร่วมที่สร้างกำไร โดยบริษัทร่วมหลักเกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทกับ บริษัท บีพี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ บริษัท บลูสโคปสตีล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กชั้นแนวหน้าซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศออสเตรเลีย ทั้งนี้ เงินปันผลเป็นแหล่งกระแสเงินสดที่แน่นอนและสม่ำเสมอของบริษัทเนื่องจากบริษัทร่วมมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและมีผลประกอบการทางการเงินที่ดี

ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทก็ลดทอนลงจากการที่บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและมีรายได้ที่ผันผวน ผลการดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่มาจากงานโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายธุรกิจเทคโนโลยีซึ่งขึ้นอยู่กับโครงการของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ อัตรากำไรของงานโครงการดังกล่าวจึงมีค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งโครงการของภาครัฐส่วนใหญ่จะต้องมีการประมูลแข่งขันกัน จึงส่งผลให้รายได้ของบริษัทขึ้นอยู่กับงบประมาณรายจ่ายและโครงการใหม่ ๆ ของภาครัฐ ดังนั้น งานของบริษัทจึงมีความเสี่ยงต่ำในการผิดนัดชำระเงินแต่ก็มีอัตราการทำกำไรที่ต่ำด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ การประมูลงานโครงการภาครัฐอาจเกิดความล่าช้าหรืออาจมีการยกเลิกซึ่งยิ่งสร้างความผันผวนให้แก่รายได้ของบริษัทมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้งบริษัทและคู่แข่งที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยังจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีซึ่งส่งผลให้สินค้าหรือบริการบางอย่างอาจล้าสมัยได้

ในปี 2559 รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.5% สู่ระดับ 13,710 ล้านบาทเนื่องจากมีปริมาณงานโครงการจากภาครัฐมากขึ้น รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 6% คิดเป็น 7,022 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่สูง โดยเพิ่มจาก -1.3% ในปี 2559 เป็น 1.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 เนื่องบริษัทได้รับงานที่มีอัตรากำไรสูงขึ้นและมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ระมัดระวัง

ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินกู้สินเชื่อโครงการ ภาระหนี้จึงมักเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัทได้รับงานโครงการใหม่ ๆ จากการทำสัญญา ณ เดือนมิถุนายน 2560 ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3,702 ล้านบาท ส่วนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนนั้นอยู่ที่ระดับ 35.7% โดยในช่วงปี 2560-2563 คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอยู่ในระดับที่ประมาณ 35%

สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้จากเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 428 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 531 ล้านบาทในปี 2559 และอยู่ที่ระดับ 430 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 11.6% ในปี 2558 เป็น 14.7% ในปี 2559 และปรับเพิ่มเป็น 17.2% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)

สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ส่วนอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.5 เท่าในปี 2558 เป็น 5.9 เท่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 977 ล้านบาท มีเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 113 ล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 4,145 ล้านบาท โดยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ระยะยาวจำนวนประมาณ 136 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 1,253 ล้านบาท

ในระหว่างปี 2560-2563 คาดว่ารายได้ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 14,000-16,000 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1%-2% ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจำนวนประมาณ 600 ล้านบาทต่อปีจากการลงทุน ทริสเรทติ้งประเมินว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 12%-15% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 4 เท่า

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะการแข่งขันในการประมูลงานและสร้างรายได้จากงานโครงการได้ในระดับที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ บริษัทน่าจะยังคงได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและได้รับผลตอบแทนจากบริษัทร่วมที่สร้างกำไรด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจปรับขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญและการลงทุนของบริษัทได้รับผลตอบแทนอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากรายได้ของบริษัทปรับลดลงอย่างมาก รวมทั้งอัตราการทำกำไรของบริษัทปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือเงินปันผลรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ