บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 ยอดขายรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 35,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถึงแม้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนและราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น การเติบโตของยอดขายเป็นผลจากการปรับราคาสินค้าและปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยที่ยอดขายในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐในไตรมาสอยู่ที่ 1,053 ล้านเหรียญสหรัฐ และยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 60 เติบโต 0.8% มาอยู่ที่ 101,430 ล้านบาท
ในส่วนของผลกำไรนั้น บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลจากผลตอบแทนจากการลงทุนใน Red Lobster บริษัท Avanti Feeds กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการจ่ายภาษีที่ลดลง แต่การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก็ยังถูกกดดันโดยกำไรจากการดาเนินงานที่ลดลงและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น กำไรสุทธิในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 60 เพิ่มขึ้น 6.1% มาอยู่ที่ 4,617 ล้านบาท
กำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/60 ลดลง 5.6% จากปีที่ผ่านมาเท่ากับ 4,658 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับ 13.2% เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/59 ที่ 14.1% เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะราคาปลาทูน่าที่พุ่งใกล้จุดสูงสุด รวมถึงค่าเงินยุโรปที่อ่อนตัวและเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เป็นสาเหตุของอัตรากำไรที่ลดลง ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยปลาทูน่าสายพันธุ์ สคิปแจ็ค ณ เดือน ก.ย.ปรับเพิ่มสูงขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 59 มาอยู่ที่ 2,100 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 48 เดือน
ในไตรมาส 3/60 ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายเติบโตสูงสุด 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็น 4,580 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ambient) เพิ่มขึ้น 2.4% มาเป็น 15,836 ล้านบาทจากปีที่แล้ว เนื่องจากราคาปลาทูน่าสูงขึ้น ในขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของบริษัท ลดลง 2.4% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็น 14,770 ล้านบาท แปรรูปในทวีปยุโรปซบเซาและค่าเงินสกุลหลักอ่อนตัว รวมถึงราคาปลาทูน่าที่ยังสูงขึ้น
ยอดขายจากสินค้าแบรนด์ของไทยยูเนี่ยน ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยังคงอัตราส่วนคงเดิมที่ 43%ที่เหลือมาจากธุรกิจการรับจ้างผลิตและธุรกิจบริการทางด้านอาหาร สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยมียอดขาย 38% จากยอดรวมทั้งหมดในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ตามด้วยตลาดยุโรป 32% ส่วนตลาดในประเทศมียอดขายอยู่ที่ 10% ญี่ปุ่น 6%เปอร์เซ็นต์ และตลาดอื่นๆ อีก14 %
ถึงแม้จะเป็นฤดูกาลที่วุ่นวายบ้าง ธุรกิจของเรด ล็อบสเตอร์ ในสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง สามารถทำกำไรสุทธิได้ 380 ล้านบาทในไตรมาส 3/60 โดยกำไรส่วนใหญ่ได้มาจากมาตราการการประหยัดภาษี และอัตราดอกเบี้ย
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิ ยังคงรักษาระดับอยู่ที่ 1.37 เท่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาส 3/60 ถึงแม้จะมีความกดดันจากราคาวัตถุดิบและเงินทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในด้านการขายและการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 9.1% (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งเป็นการใช้จ่ายแบบครั้งเดียว มีผลทำให้อัตราอยู่ที่ 9.5%)
“กลยุทธ์ในเรื่องของการกระจายการลงทุนและสินค้าให้ครอบคลุมหลายภูมิภาค ช่วยให้เราสามารถรับมือกับสภาวะความผันผวนของตลาดและของอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เราจึงจะเน้นย้ำถึงการกระจายธุรกิจและความเสี่ยง เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน" นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าว
นายธีรพงศ์ กล่าวเสริมว่า การพัฒนาองค์กร การจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายและการปรับปรุงการดำเนินงานที่เราทำมาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนช่วยให้เราอยู่รอดได้ในสภาวการณ์ที่มีความกดดันในเรื่องผลกำไรอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้