นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าไปเจรจาเพื่อซื้อโครงการของ บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ซึ่งอยู่ระหว่างการเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมประมูล โดยสนใจที่จะเข้าซื้อโครงการ PACE ทั้งโครงการที่อยู่ในประเทศไทยและในประเทศญี่ปุ่น
ที่ผ่านมาบริษัทได้ศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการของ PACE ทุกโครงการมาทั้งหมดแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่มีศักยภาพ ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี และตรงกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทที่เน้นการพัฒนาโครงการระดับ Luxury และ Super Luxury แต่อย่างไรก็ตามความชัดเจนต่าง ๆ จะต้องขึ้นอยู่กับผลการประมูลและความคุ่มค่าของการลงทุน ซึ่งทำให้ยังไม่สามารถจะคาดเดาได้ว่าบริษัทจะมีโอกาสได้ซื้อโครงการใดของ PACE
“โครงการของ PACE ทางบริษัทก็สนใจและได้มีการเข้าไปเจรจาในส่วนของการซื้อ แต่ผมก็ไม่รู้ว่า Process การซื้อขายไปถึงตรงไหนแล้ว เพราะมีทีม M&A ที่เป็นคนดูแล แต่เราก็ได้มีการศึกษาโครงการของ PACE มาทั้งหมดทุกโครงการแล้ว ก็ถือว่าเป็นโครงการที่มีศักยภาพ ทำให้มองว่าเป็นโอกาสที่บริษัทจะนำไปพัฒนาและบริหารต่อทั้งโครงการในประเทศและ ที่ญี่ปุ่น ส่วนเรื่องเงินทุนของบริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนหากมีโอกาสดีๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการซื้อที่ดิน ซื้อกิจการ และซื้อโครงการมาพัฒนาและบริหารต่อ"นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ด้านแผนการดำเนินธุรกิจในปี 61 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท หรือมูลค่าโครงการละ 4-5 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ซึ่งทั้ง 3 โครงการ บริษัทมีที่ดินพร้อมพัฒนาทั้งหมดแล้ว และเป็นโครงการระดับ Luxury และ Super Luxury ซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท พร้อมกับตั้งเป้ายอดขายในปี 61 อยู่ที่ 8 พันล้านบาท
ขณะเดียวบริษัทคาดว่ายอดโอนจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเฉพาะในส่วนของบริษัทพัฒนาในปี 61 จะเข้ามาอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท จากการเริ่มทยอยโอนโครงการ The ESSE Asoke ในช่วงปลายปี 61 ซึ่งบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท มาจากการขาย 2 โครงการคอนโดมิเนียม คือ โครงการ The ESSE Asoke มูลค่า 4.5 พันล้านบาท และโครงการ THE ESSE at SINGHA COMPLEX มูลค่า 4.5 พันล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายทั้ง 2 โครงการรวม 80% โดย Backlog ที่มีอยู่ไนปัจจุบันจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 62
ส่วนในปีนี้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.2-8.3 พันล้านบาท หลังจาก 10 เดือนที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายได้แล้ว 5 พันล้านบาท และในเดือนพ.ย.บริษัทได้เปิดโครการคอนโดมิเนียมหรูอีก 1 โครงการ คือ โครงการ The ESSE สุขุมวิท 36 มูลค่า 6.5 พันล้านบาท ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ ทางออก 2 ราคาขายเฉลี่ย 330,000 บาท/ตารางเมตร โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่บริษัทร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมายในเอเชีย ในอัตราส่วนการลงทุน 51:49 ซึ่งโครงการ The ESSE สุขุมวิท 36 จะเปิดการขายพรีเซลในวันที่ 18-19 พ.ย.และบริษัทได้ตั้งเป้าหมายปิดการขายในสิ้นปีนี้ 50% หรือมียอดขายราว 3.2-3.3 พันล้านบาท โครงการดังกล่าวจะมีกำหนดแล้วเสร็จและเริ่มทยอยโอนภายในปี 63
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/60 ถึงต้นปี 61 ยังมองว่าตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับ Luxury ที่อยู่ใจกลางเมือง จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น การเดินหน้าลงทุนโครงการของภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มเห็นมากขึ้น ส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภค และทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบน ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ คือ สถานการณ์ของตลาดและความมั่นใจ ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาณบวกที่ดีออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยระดับบนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ซัพพลายของโครงการระดับบนที่ออกมายังไม่อยู่ในภาวะล้นตลาด โดยเฉลี่ยจะมีจำนวนซัพพลายของคอนโดมิเนียมระดับบนออกใหม่อยู่ที่ 8,000 ยูนิต/ปี โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/60 มีจำนวนซัพพลายของโครงการคอนโดมิเนียมที่ออกใหม่อยู่ที่ 7,800 ยูนิต