ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ BCH วงเงินไม่เกิน 1 พันลบ. ที่ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 8, 2017 11:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดนี้จะนำไปชำระหนี้เดิมของบริษัท

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจโรงพยาบาลให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่มีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มเครือข่ายประกันสังคม รวมทั้งแหล่งรายได้ที่หลากหลายของบริษัท อย่างไรก็ตาม การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ของโรงพยาบาล World Medical Hospital (WMC) และภาวะแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจโรงพยาบาล นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสุขภาพของภาครัฐและความเสี่ยงจากการขยายธุรกิจในอนาคตด้วย

BCH ก่อตั้งในปี 2536 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2547 โดยมีตระกูลหาญพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วน 50% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ณ เดือนพฤษภาคม 2560 ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารกิจการโรงพยาบาลจำนวน 11 แห่งและคลินิกชุมชน 2 แห่ง บริษัทมีโรงพยาบาลที่เปิดดำเนินการภายใต้ตราสัญลักษณ์ WMC 1 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล 1 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ 5 แห่ง และภายใต้ตราสัญลักษณ์การุญเวชอีก 4 แห่ง

โรงพยาบาลแต่ละแห่งของบริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดย WMC เน้นรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงและกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนลให้บริการกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงระดับบน โรงพยาบาลเกษมราษฎร์เน้นรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มลูกค้าประกันสังคม และโรงพยาบาลการุญเวชเน้นรองรับกลุ่มลูกค้าในโครงการประกันสังคม ปัจจุบันนี้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มคนไข้เงินสดอยู่ที่ 65% ของรายได้รวมและจากกลุ่มคนไข้ในโครงการประกันสังคมอยู่ที่ 35% ของรายได้รวมตามลำดับ

ในปี 2560 บริษัทลงทุน 391 ล้านบาทใน บริษัท บางกอก เชน อินเตอร์เนชั่นแนล (ลาว) จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการโรงพยาบาลเอกชนขนาด 250 เตียง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์รวมของบริษัท

บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการประกันสังคมของภาครัฐ โดยในระยะกว่า 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนจำนวนผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมในเขตกรุงเทพฯ อยู่ที่ 10%-11% ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 สัดส่วนจำนวนผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมในเขตกรุงเทพฯ ยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 11% การมีฐานจำนวนผู้ประกันตนจำนวนมากช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบจากการประหยัดจากขนาดและยังช่วยคงระดับการใช้งานเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีต้นทุนสูงให้เต็มประสิทธิภาพด้วย

รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นระดับ 6,511 ล้านบาทในปี 2559 โดยสาเหตุหลักมาจากการมีจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและการปรับเพิ่มราคาค่าบริการ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 24.2% ในปี 2558 มาอยู่ที่ระดับ 26.6% ในปี 2559 โดยสาเหตุหลักมาจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท, ค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญในกลุ่มลูกหนี้จากกองทุนประกันสังคมที่ลดลง และผลการดำเนินงานของ WMC ที่ปรับตัวดีขึ้น ดังนั้น อัตราส่วนกำไรสุทธิของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นจาก 9.1% ในปี 2558 เป็น 11.6% ในปี 2559 อย่างไรก็ตาม WMC ยังคงมีผลขาดทุนสุทธิ 172 ล้านบาทในปี 2559 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 233 ล้านบาทในปี 2558 ผู้บริหารของบริษัทคาดว่า WMC จะบรรลุจุดคุ้มทุนที่ระดับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้ภายในสิ้นปี 2560 และจะสามารถมีกำไรได้ในปี 2561

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 3,298 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 24.1% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 เปรียบเทียบกับ 25.7% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับหนี้สงสัยจะสูญในกลุ่มลูกหนี้จากกองทุนประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ WMC ยังคงรายงานผลขาดทุนจำนวน 77 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 27% ต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า

บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจากการขยายธุรกิจ โดยหนี้สินรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,108 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 4,615 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจึงเพิ่มขึ้นจาก 34.3% ณ สิ้นปี 2555 เป็น 45.8% ณ เดือนมิถุนายน 2560 ในระหว่างปี 2560-2563 บริษัทมีแผนลงทุนเพิ่มเติมราว 500-2,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น อัตราการก่อหนี้ทางการเงินของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 38%-44% บริษัทมีสภาพคล่องค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่เหนือระดับ 30% ในช่วงปี 2560-2563

สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 นั้น อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 11.58 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเท่ากับ 32.88% (ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) เงินสดในมือของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ประมาณ 457 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,600-2,000 ล้านบาทต่อปี โดยภาระหนี้สินรวมที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มคนไข้ที่มีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มกลุ่มเครือข่ายประกันสังคมไว้ได้ และโรงพยาบาล WMC จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในอนาคตด้วย ในขณะเดียวกันยังคาดหวังว่าบริษัทจะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังสำหรับการลงทุนในอนาคตและจะรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ไม่เกิน 50% เพื่อที่จะคงคุณภาพเครดิตของบริษัทเอาไว้

อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากระดับอัตราการก่อหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องยาวนาน ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีการลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากและกระแสเงินสดที่รองรับการชำระหนี้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ