นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผาแดงอินดัสทรี (PDI) เปิดเผยว่า การดำเนินงานโดยรวมในปี 2560 มีแนวโน้มที่ดีมาก โดยเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรได้สูงกว่าในปีที่แล้วมาก จากธุรกิจสังกะสีซึ่งยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทในปีนี้กว่า 90% หลังจากราคาโลหะสังกะสีโลกปรับตัวสูงเป็นประวัติการณ์ โดยราคาปรับเหนือระดับกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา
นอกจากนี้บริษัทยังมีพัฒนาการอย่างชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน โดยในเดือนกันยายน 2560 ได้เข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์มีกำลังการผลิตรวม 30 เมกะวัตต์ (MW) ในประเทศไทย ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ดำเนินการผลิตแล้ว ทั้งสิ้นรวม 38.6 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งที่สองขนาด 10.5 เมกะวัตต์ ที่ประเทศญี่ปุ่น อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในไตรมาส 1/61 ซึ่งจะทำให้บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วเป็น 50 เมกะวัตต์
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.60) บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 4,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากราคาโลหะสังกะสีโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยในรอบ 9 เดือนของปีนี้อยู่ที่ 2,781 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นถึง 43% จากในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1,948 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน อัตรากำไรขั้นต้นใน 9 เดือนแรกของปี 60 เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 629 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 59 เพิ่มเป็น 969 ล้านบาท ถึงแม้ว่าต้นทุนขายจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการจำหน่ายโลหะสังกะสีจากการนำเข้าในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากจากช่วงเดียวกันของปี 59
ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 3/60 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 1,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิ 221 ล้านบาทในไตรมาส 3/59 จากการยุติธุรกิจสังกะสีในกระบวนการผลิตแบบเดิมส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายรวมในไตรมาส 3/60 ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายโลหะสังกะสีจากการนำเข้ามีสัดส่วนสูงถึง 54% ของปริมาณการจำหน่ายโลหะสังกะสีรวม สำหรับราคาโลหะสังกะสีโลกในไตรมาส 3/60 เฉลี่ยที่ 2,962 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 32% จากราคาเฉลี่ยไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งเฉลี่ยที่ 2,253 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ดีและมีกำไรสะสมอย่างต่อเนื่อง ทำให้พีดีไอมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก มีกระแสเงินสดที่พร้อมในการลงทุน โดยยังคงมุ่งมั่นขยายธุรกิจต่อไป ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างมองหาโอกาสที่จะลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ที่มีความคุ้มค่าและได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในธุรกิจพลังงานทดแทน บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและวัสดุรีไซเคิล รวมถึงการเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจก็อยู่ในการพิจารณาลงทุนของบริษัทเช่นกัน