นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) เปิดเผยว่า ตามแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทที่จะเพิ่มทุนและขายโครงการนิมิต หลังสวน ทั้งโครงการ และห้องชุดที่ยังเหลือประมาณ 25% ของโครงการเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ในโครงการอาคารชุดมหานคร เพื่อนำเงินที่ได้มาลดภาระหนี้และดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้กว่า 500 ล้านบาท/ปี ซึ่งจะช่วยให้อัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียงประมาณ 1.5 เท่า
"บริษัทได้วางแผนลดภาระหนี้และดอกเบี้ย ตลอดจนถึงแผนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยแผนในระยะสั้น บริษัทได้เตรียมปรับโครงสร้างทางการเงินด้วยการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์บางส่วนของบริษัท ทำให้สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที และเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งจะช่วยให้อัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียงประมาณ 1.5 เท่า ซึ่งแผนการดำเนินธุรกิจนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัท"นายสรพจน์ กล่าว
นายสรพจน์ กล่าวว่า สำหรับแผนการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการรับรู้รายได้นั้น ขณะนี้ได้เข้าทำบันทึกความเข้าใจ กับ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ในการจำหน่ายโครงการนิมิตหลังสวนทั้งโครงการ และห้องชุดที่ยังเหลือประมาณ 25% ของโครงการเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ซึ่งปัจจุบัน SIRI อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบสถานะของทรัพย์สิน (Due Diligence)
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าหากทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลง และเงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ของธุรกรรมเสร็จสิ้นแล้ว บริษัทอาจสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการดังกล่าวได้ในปี 61 และจะนำเงินสดที่ได้จากการจำหน่ายทั้งสองโครงการนี้ไปลดภาระหนี้ต่อไป
นอกจากนี้บริษัทยังจะเพิ่มทุนแบบจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 7,516 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท รวมมูลค่า 3,758 ล้านบาท โดยจะออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) 2 รุ่น ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิในการเพิ่มทุนครั้งนี้ รวมเป็นจำนวน 4,009 ล้านหน่วย พร้อมทั้งออกหุ้นเพิ่มทุนแบบจัดสรรหุ้นให้กับบุคคลในวงจำกัด จำนวน 1,500 ล้านหุ้น โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะนำไปพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของบริษัท ขยายธุรกิจในอนาคต และชำระหนี้หุ้นกู้และตั๋วแลกเงิน ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถลดภาระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับโครงการมหานคร อ็อบเซอเวชั่นเด็ค ซึ่งเป็นจุดชมวิวบนอาคารมหานคร จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญของบริษัท รองรับนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดถึงวันละ 10,000 คน และตั้งอยู่บนอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบัน บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ โดยจะคิดค่าบริการเพื่อเข้าชมครั้งละประมาณ 500-1,000 บาท และพร้อมจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งแรกของปี 61 ซึ่งจากข้อมูลของ Conde Nast Travelers คาดว่าภายในปี 60 กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนถึง 20.19 ล้านคน และบริษัทมั่นใจว่าจุดชมวิวบนอาคารมหานครจะเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติทุกระดับ
"ธุรกิจจุดชมวิว เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนแรกเริ่มสูงแต่เมื่อเริ่มเปิดดำเนินการแล้ว จะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อเนื่องค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรายได้ที่จะได้รับในระยะยาว เช่นเดียวกับ ธุรกิจรถไฟฟ้า หรือ โรงไฟฟ้า โดยคาดว่าจะสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นที่มากกว่า 70% ซึ่งถือว่าได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป และยังเป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่องอีกหลายสิบปี โดยที่ปราศจากความเสี่ยงในการหาที่ดินทำเลใหม่เพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มทุกปี ทั้งนี้ จุดชมวิว มหานคร อ็อบเซอเวชั่น เด็ค ปัจจุบัน ได้ก่อสร้างโครงสร้างหลักเสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างการตกแต่งภายใน ซึ่งบริษัทได้สำรองเงินทุนในส่วนนี้แล้ว"นายสรพจน์ กล่าว
นายสรพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจดีน แอนด์ เดลูก้านั้น บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่หน่วยธุรกิจใหม่ที่ใช้เงินลงทุนน้อย อาทิ การขยายสาขารูปแบบคาเฟ่ขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ DEAN & DELUCA xp และการพัฒนาไลน์ผลิตภัณฑ์ คอนซูเมอร์ แบรนด์ ที่เป็นแผนการผลิตสินค้าซึ่งจะใช้ช่องทางจัดจำหน่ายทั่วไปทั้งในและนอกร้านดีน แอนด์ เดลูก้า
บริษัทมีแผนที่จะใช้กลยุทธ์ในการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อผนึกกำลังในการต่อยอดธุรกิจใหม่สองไลน์นี้ โดยมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทได้รับความสนใจจากพันธมิตรทางธุรกิจหลากหลายประเทศที่พร้อมเข้าร่วมขยายธุรกิจใหม่ทั้ง 2 ไลน์ภายใต้เครื่องหมายการค้า ดีน แอนด์ เดลูก้า
นอกจากนี้ ดีน แอนด์ เดลูก้า สหรัฐอเมริกา ยังได้แต่งตั้ง นางลอร่า เลนดรัม ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานบริหาร สายงานตลาดและการค้าทั่วโลก เพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจและแบรนด์ให้เป็นไปตามทิศทางการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะในสายงานรีเทล ซึ่งได้นำกลยุทธ์ด้านดิจิตอลมาประยุกต์ใช้เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“ที่ผ่านมา เราได้ลงทุนไปกับการศึกษาตลาด และการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการออกแบบพัฒนารูปแบบร้านและการบริหารจัดการ เพื่อมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น ปัจจุบัน ดีน แอนด์ เดลูก้าได้ผ่านพ้นช่วงเวลาของการตั้งต้นและลงทุนไปแล้ว หลังจากการปรับสถานะทางการเงินครั้งใหญ่นี้เสร็จสมบูรณ์ ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาของการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ"นายสรพจน์ กล่าว
นายสรพจน์ กล่าวอีกว่า ด้านการบริหารจัดการภายในองค์กร บริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่สามารถรับรู้รายได้ระยะยาวอีก 3 โครงการ ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จ คือ โครงการ วินด์เชลล์ บนถนนนราธิวาสราช-นครินทร์, โรงแรม บางกอก เอดิชั่น ในมหานคร โครงการ มหาสมุทร หัวหิน ซึ่งประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยรูปแบบวิลล่า และ คันทรี่ คลับ และยังเป็นโครงการที่จะสร้างรายได้ระยะยาวให้กับบริษัท อีกทั้งยังมีที่ดินที่อยู่ระหว่างรอพัฒนาอีกสองโครงการ
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับโครงสร้างองค์กรและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลและการปฏิบัติการ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย และได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนด้านบุคลากร พร้อมรองรับทิศทางการดำเนินธุรกิจที่จะสร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว
“หลังจากการเพิ่มทุนและขายสองโครงการดังกล่าว รวมถึงลดภาระหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยระยะสั้นจนเกือบหมดสิ้นแล้ว เพซเชื่อมั่นว่าโครงสร้างทางการเงินของบริษัทจะมีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และบริษัทเชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูงและเน้นการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต"นายสรพจน์ กล่าว
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะหนึ่งในธนาคารผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินของ PACE กล่าวว่า ธนาคารเห็นด้วยกับแผนการปรับสถานะทางการเงินของเพซในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระหนี้ระยะสั้นแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างฐานการเติบโตทางการเงินอย่างยั่งยืน และธนาคารมีความยินดีที่จะให้การสนับสนุนพร้อมกับทำงานร่วมกับเพซต่อไปในอนาคต โดยหลังจากการปรับสถานะทางการเงินครั้งใหญ่นี้ เพซจะมีความสามารถในการเดินหน้าขยายธุรกิจโดยเฉพาะสองธุรกิจหลักสำคัญที่จะช่วยสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง คือ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ดีน แอนด์ เดลูก้า และจุดชมวิว มหานคร อ๊อบเซอร์เวชั่น เด็ค