นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวในเชิงบวกได้ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้โดยรวมเป็นบวก ภายหลังจากราคาน้ำมันนิ่งและยังทรงตัวในระดับสูง ซึ่งช่วงนี้ปัจจัยที่มีผลต่อแต่ละตลาดฯจะเป็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของแต่ละประเทศ
ทั้งนี้ แม้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดบ้านเราบางตัวจะไม่ค่อยดี แต่ก็มีหุ้นที่มีงบฯออกมาดีก็ยังมีอยู่ ทำให้ตลาดฯยังมีโมเมนตัมที่ดีอยู่
นอกจากนี้ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ ทำให้ต้นทุนของกลุ่มไฟแนนซ์ และเช่าซื้อ ไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้นแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/60 คงจะยังดีต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น THANI, TK, S11
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การลงทุนก็คงแนะให้เก็งกำไรหุ้นรายตัว โดยตัวเด่นมองที่หุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี รวมไปถึงหุ้น PTL, VNT, ที่ราคาหุ้นยังไม่ค่อยปรับขึ้น อีกทั้งยังมีหุ้นที่งบฯน่าจะดี ทั้ง TK, AGE, PYLON, AMANAH
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,710-1,720 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (8 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,563.36 จุด เพิ่มขึ้น 6.13 จุด (+0.03%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,594.38 จุด เพิ่มขึ้น 3.74 จุด (+0.14%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,789.12 จุด เพิ่มขึ้น 21.34 จุด (+0.32%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 75.62 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.79 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 80.19 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 16.04 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 7.53 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.99 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.47 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 พ.ย.60) 1,714.65 จุด เพิ่มขึ้น 1.90 จุด (+0.11%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 576.28 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (8 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 56.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 พ.ย.60) ที่ 6.66 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.12 แนวโน้มแกว่งแคบรอปัจจัยใหม่ นลท.จับตาร่างกม.ปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% เนื่องจากเป็นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเอื้อให้เงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่เป้าหมายได้ โดยประเมินว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับสู่เป้าหมายได้ประมาณกลางปีหน้า
- ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ กรมจะเชิญผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้าทั้งหมด มาหารือถึงการจัดทำโครงการมหกรรมลดราคาสินค้าทั้งประเทศ เบื้องต้นรูปแบบของการจัดงานจะทำให้สอดประสานไปกับโครงการช็อปช่วยชาติ ซึ่งเป็นมาตรการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้มีการนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้ามาหักลดหย่อนภาษีตามวงเงินที่กำหนด ส่วนชื่อโครงการในปีนี้จะมีการหารายละเอียดอีกครั้งว่าจะใช้ชื่ออะไร
- คลังได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2561 แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดย ธปท.จะกำหนดกรอบไว้เท่าเดิม 2.5% บวกลบ 1.5% หรือ 1-4% ซึ่งเป็นระดับที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพ ถือเป็นกรอบที่คลังรับได้เพราะคลังยืนยันมาตลอดว่าหากเศรษฐกิจได้เต็มศักยภาพ การบริหารจัดการต่อไปจะทำได้ง่ายขึ้น
- ก.ล.ต.เตรียมออกเกณฑ์คุมบริษัทออกตั๋วบีอีใหม่ โดยเน้นแก้ไขเกณฑ์การจัดสรรให้ผู้ลงทุนรายใหญ่ เน้นวงจำกัด หลังพบปัญหาเสนอขายผิดวัตถุประสงค์ คาดเริ่มใช้เดือนก.ค.ปีหน้า แจงไตรมาส 3 มูลค่าตั๋วบีอีคงค้าง 2.93 แสนล้านบาท พบ 10 เดือนแรกมีบีอีผิดนัดชำระเกือบ 6 พันล้านบาท
- 'อภิศักดิ์' เร่ง 3 กรมภาษี สรรพสามิต ศุลกากร และสรรพากรใช้บิ๊กดาต้าเพิ่มประสิทธิภาพ จัดเก็บ ยันช่วยป้องกันรั่วไหล แก้ปัญหาทุจริต หนุนเกิดความเท่าเทียมกันของผู้เสียภาษี แนะหลักการเก็บไม่ใช่การรีด เดินหน้าเปลี่ยนแสตมป์แบบใหม่ ปิดช่องโหว่ทุจริต ลดเลี่ยงภาษี
*หุ้นเด่นวันนี้
- ADB (บมจ.แอ็พพลาย ดีบี) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีราคาขาย IPO ที่ 1.69 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมปี 2561 เท่ากับ 2.30 บาท อิง PE เฉลี่ยของ peer group ที่ 20 เท่า โดยคาดกำไรปีนี้ -78% Y-Y จากราคาเม็ดพลาสติกที่ผันผวน แต่จะกลับมาโตแรง 318% Y-Y อยู่ที่ 69 ลบ. ในปีหน้า จากการรุกตลาดส่งออกกาวและยาแนว ผนวกกับการรุกสินค้ากลุ่ม DIY ที่ใช้ในครัวเรือนซึ่งมีอัตรากำไรดี ส่วนธุรกิจพีวีซีหุ้มสายไฟเริ่มชะลอ แต่ชดเชยได้จากการเริ่มผลิตเม็ดพลาสติกที่ใช้ในเครื่องมือแพทย์ ร่วมกับกลุ่มโชวะที่มีความชำนาญสูง ราคา IPO คิดเป็น PE2018 เท่ากับ 15 เท่า ถือว่ามีส่วนลดเมื่อเทียบกับกลุ่มพอควร
- DTAC (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 70 บาท ความกังวลต่อต้นทุนประมูลคลื่น 900-1800MHz มากเกินไป และคาดว่าต้นทุนคลื่นจะไม่สูง จาก 1) มีคลื่นพอคาดทำสัญญาใช้คลื่น 2300MHz กับ TOT ภายในสิ้นปีนี้ และการเข้าประมูลคลื่น 1800MHz ที่ 15MHz จะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท 2) ADVANC กับ TRUE ที่มีคลื่นในมือมากแล้ว และภาระหนี้ที่สูง จะทำให้ภาวะการแข่งขันไม่สูงมาก และ 3) ไม่คิดว่ามีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด มองเป็น value play ที่ EV/EBITDA ปี 61 5.8x ต่ำกว่ากลุ่ม 40% และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี 19%
- MONO (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 5.30 บาท คาดปี’60 สามารถพลิกฟื้นมามีกำไร หลังขาดทุนใน 3 ปีหลังสุด ทั้งนี้ ได้รายงานกำไรสุทธิ Q3/60 ที่ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% QoQ ในขณะที่ YoY โตเกือบ 6 เท่าตัว จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าโฆษณา สะท้อนการยึดครองเรตติ้งโทรทัศน์อันดับ 4 ได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมมองแนวโน้มผลประกอบเติบโตต่อเนื่องในปี 61 จากรายได้ค่าโฆษณาที่คาดว่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่สามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ค่อนข้างคงที่ ประกอบกับการได้รับประโยชน์จากการลดค่าธรรมเนียม Digital TV ที่คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในปี 61 ลงราว 20 ล้านบาท