นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) กล่าวถึงการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะได้รับผลดีจากธุรกิจที่ขยายการลงทุนไปแล้วและที่เตรียมขยายการลงทุนเพิ่มเติม ตลอดจนภาพรวมเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศที่ดีขึ้น โดยเตรียมรับรู้รายได้และกำไรจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท โอเชี่ยน แอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ OAI เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือและทางอากาศ (Freight Forwarder)
สำหรับการเข้าซื้อกิจการ OAI ถือว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ JWD ในการต่อยอดขยายธุรกิจสู่การให้บริการ Freight Forwarder ให้แก่ลูกค้าที่เป็นผู้นำเข้า-ส่งออก ทำให้บริษัทฯ สามารถยกระดับการนำเสนอบริการในแบบ ‘Total Solutions’ ที่มีความครบวงจรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง อาทิ การให้บริการนำเข้าสินค้า การรับจัดการพิธีการทางศุลกากร การรับฝากและบริหารจัดการสินค้า จนถึงการให้บริการส่งออกสินค้า โดยปัจจุบันได้เริ่มนำเสนอบริการดังกล่าวให้แก่ลูกค้าแล้ว รวมถึงยังส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจรับขนย้ายระหว่างประเทศที่จะมีต้นทุนให้บริการ Freight Forwarder ลดลง ตลอดจนมีแผนจะนำเสนอบริการ Freight ให้แก่ฐานลูกค้าในธุรกิจต่าง ๆ เช่น ธุรกิจคลังสินค้าอันตราย, คลังสินค้าปลอดอากรและคลังห้องเย็นปลอดอากร เพื่อใช้เป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าไปยังต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ JWD มีแผนการลงทุนติดตั้งชั้นวางสินค้า (Racking) ในศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ (JWD Chemical Supply Chain) เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดวางสินค้าในแนวสูง ซึ่งจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้อีก 1.5-2 เท่าของรายได้ในปัจจุบัน ส่วนธุรกิจรับส่งสินค้าด่วน JWD Express มีแผนการลงทุนเพิ่มรถขนส่ง 4 ล้อ เป็น 40 คัน จากปัจจุบันที่มี 20 คัน ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น
“เราคาดหวังเห็นการเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้าย จากทุกกลุ่มธุรกิจหลักทั้งในประเทศและอาเซียน ได้แก่ กลุ่มสินค้าอันตราย กลุ่มห้องเย็น กลุ่มยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มขนส่งที่มีการเติบโตสูงสุด ไม่รวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องสำหรับคลังสินค้าในอาเซียน และการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม" นายชวนินทร์ กล่าว
ด้านนายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน JWD กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 (กรกฎาคม-กันยายน 2560) มีการเติบโตที่โดดเด่นทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยมีรายได้จากการให้เช่าและการให้บริการ 642 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการให้เช่าและการให้บริการ 558 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 11.1% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้จากการให้เช่าและการให้บริการ 577.8 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 56.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ (หลังหักรายการพิเศษ) 24.4 ล้านบาท และยังเพิ่มขึ้น 14.1% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 49.5 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 เป็นรายธุรกิจ พบว่ากลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้ามีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีรายได้ 107.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 91.8 ล้านบาท เนื่องจากจากการขยายตัวของการให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาและเมียนมาร์ และธุรกิจให้บริการรับส่งสินค้าด่วน (JWD Express) ที่ได้งานจากลูกค้าใหม่ ส่วนธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปมีรายได้ 84.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 74.9 ล้านบาท ปัจจัยมาจากศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ (JCS) ที่มีการให้บริการแก่ลูกค้าเกือบเต็มพื้นที่ และศูนย์รวมการเก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ (LCL) ที่มีลูกค้าใช้บริการเพิ่มขึ้น
ขณะที่ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์มีรายได้ 110.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 101.3 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์และธุรกิจคลังห้องเย็นมีรายได้ 119.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% ไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 112.2 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าอันตรายมีรายได้ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า
จากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 ที่เติบโตแข็งแกร่ง ส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2560) มีรายได้จากการให้เช่าและการให้บริการ 1,792.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการให้เช่าและการให้บริการ 1,661.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 146.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ (หลังหักรายการพิเศษ) 78.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่จะผลักดันรายได้รวมในปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 7%