นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 4/60 ว่าจะเป็นไตรมาสที่มีการเติบโตที่ดีที่สุดของบริษัทฯ จากการรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์สินที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 3,090 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ซึ่งการรวมกองระหว่างกองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) กับกองทรัสต์ WHART และการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART เป็นไปตามแผน และคาดว่าการโอนสินทรัพย์จะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯได้เตรียมขายสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทรัพย์สินไม่เกิน 1,690 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) ซึ่งขณะนี้กองทรัสต์ HREIT อยู่ระหว่างการเดินสายโรดโชว์กับนักลงทุนสถาบัน และคาดว่าจะสามารถเสนอขายหน่วยเพิ่มทุนได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
สำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ภายหลังการออกมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคตะวันออก การได้รับความเห็นชอบของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสำหรับร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) และการรับร่างพระราชบัญญัติ EEC ของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บริษัทฯ ได้เดินหน้ายกระดับนิคมอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯได้มีการยื่นเอกสารการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด แห่งที่ 4 (HESIE4) เป็นเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ และได้มีการยื่นแผนธุรกิจ (Project Feasibility) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และจากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ มีลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวจีนและชาวญี่ปุ่น ให้ความสนใจในการเยี่ยมชมกิจการของบริษัทอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่ายอดขายที่ดินในช่วงปลายปี 2560-ปี 2561 มีแนวโน้มในการขายที่ดินในจำนวนที่มากขึ้น ประกอบกับโครงการส่วนใหญ่ของ WHA GROUP ก็อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว สำหรับนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม เฟส 1 จำนวนกว่า 3,000 ไร่ คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปีนี้
ส่วนธุรกิจการให้บริการสาธารณูปโภค คาดว่ารายได้จากการให้บริการน้ำทั้งปีจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย ประมาณ 10% จากปริมาณลูกค้าในนิคมฯ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มโรงไฟฟ้าและปิโตรเคมี ซึ่งมีการใช้น้ำในปริมาณมาก เช่นเดียวกันกับธุรกิจโรงไฟฟ้าที่น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 40% จากการมีโรงไฟฟ้าที่จะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามแผนในปีนี้
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลจิสติกส์ในประเทศ ตั้งเป้าพื้นที่เช่า 200,000 – 250,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดพื้นที่ที่ทำสัญญาแล้วและอยู่ระหว่างเจรจาที่มีความเป็นไปได้สูง ทั้งโครงการ Built-to-Suit และ Sale and Leaseback แล้วกว่า 80% ของเป้าหมายที่วางไว้ และโครงการโลจิสติกส์ในประเทศอินโดนีเซีย กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าในโครงการเฟสที่ 2 อีกด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้า 2,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯที่ 1,628 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,089% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 42 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้า 6,922 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 5,336 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 497 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 214% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนที่ดิน การเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าจากการเปิด COD โรงไฟฟ้า SPP จำนวน 4 แห่ง ส่งผลให้สิ้นเดือนกันยายน 2560 บริษัทฯ มีกำลังผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 447 เมกะวัตต์
ตลอดจนการลดลงของต้นทุนทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญจากการชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินจำนวน 5,000 ล้านบาท ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา การชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 2,300 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2560 และการลดลงของอัตราดอกเบี้ยจากการรีไฟแนนซ์เงินกู้จากสถาบันการเงินด้วยการออกและเสนอขายหุ้นกู้