นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปี 60 จะอยู่ที่ 10% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้กว่า 9% โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาอัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 8.8% และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 4/60 ซึ่งจะมีการโอนโครงการเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยจะทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เฉพาะของแสนสิริ 5.4 พันล้านบาท จาก Backlog เฉพาะของแสนสิริที่มีอยู่ทั้งหมด 8.77 พันล้านบาท
ประกอบกับการรับรู้รายได้จาก Backlog ของบริษัทร่วมทุนกับบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ในช่วงไตรมาส 4/60 ที่ 1.93 พันล้านบาท จาก Backlog ของบริษัทร่วมทุนที่มีอยู่ทั้งหมด 2.85 หมื่นล้านบาท อีกทั้งแนวโน้มของต้นทุนทางการเงินและต้นทุนการขายและบริหารมีแนวโน้มที่ลดลงต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นให้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 32.2% ในไตรมาส 3/60 จากไตรมาส 2/60 ที่ 32.2%
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 61 คาดว่าจะเห็นการเติบโตของผลการดำเนินที่โดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของกำไรที่คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา รับผลจากการเริ่มทยอยรับรู้กำไรของบริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอสเข้ามาราว 800-1,000 ล้านบาท ในปีหน้า ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนเข้ามา ประกอบกับแนวโน้มต้นทุนทางการเงินและต้นทุนการขายและบริหารยังมีแนวโน้มที่ลดลงอย่างเนื่อง จากการควบคุมต้นทุนของบริษัททำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ในปี 61 บริษัทคาดว่าจะมีการหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในปี 61 มูลค่า 6 พันล้านบาท โดยอายุหุ้นกู้ชุดใหม่คาดว่าจะมีอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 3% ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทในปี 61 จะลดลงต่ำกว่า 3.85%
ด้านแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 61 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการวางแผนและคาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท พิจารณาในช่วงเดือนธ.ค.นี้ โดยในเบื้องต้นคาดว่ายอดขายและรายได้จะสูงขึ้นจากปีนี้ที่ 4 หมื่นล้านบาท และ 3.4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ โดยในส่วนของยอดขายลูกค้าต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ 9 พันล้านบาท และการรับรู้รายได้จาก Backlog ในปี 61 จะแบ่งการรับรู้รายได้จาก Backlog ของบริษัทเข้ามาอีก 3.3 พันล้านบาท และรับรู้รายได้จาก Backlog ของบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส 9.48 พันล้านบาท
ส่วนแผนการเปิดโครงการใหม่และมูลค่าโครงการเปิดใหม่อยู่ระหว่างการพิจารณา และงบซื้อที่ดินในปี 61 บริษัทตั้งไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อที่ดิน ซึ่งส่วนใหม่จะรองรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งการพัฒนาโครงการใหม่จะยังแบ่งสัดส่วนเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 60% และโครงการแนวราบ 40% ขณะที่การเข้าซื้อโครงการนิมิตร หลังสวน และโครงการเดอะริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ส่วนที่เหลือทั้งหมด จำนวน 53 ห้องชุด จากบมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) อยู่ระหว่างการศึกษาและประเมินมูลค่าสินทรัพย์ ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 60 วัน
โดยหากผลออกมาสำเร็จบริษัทมองว่ายังมีแหล่งเงินทุนที่รองรับดีลดังกล่าวที่เพียงพอจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มีมากขึ้น จากการโอนที่เข้ามามากขึ้นหนุน เงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยังคงเป็นธนาคารหลักที่ให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่บริษัท และเป็นธนาคารที่เกี่ยวข้องกับดีลดังกล่าวโดยตรง รวมถึงเงินที่ได้จากการแปลงสภาพ SIRI-W2 จำนวน 3,406 ล้านหุ้น ราคาใช้สิทธิ 2.50 บาท/หน่วย และการออกหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทมีช่องทางของแหล่งเงินทุนที่หลากหลายในการรองรับดีลดังกล่าวหากมีความชัดเจนแล้ว
ส่วนแนวโน้มยอดขายของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4 หมื่นล้านบาท หลังจากล่าสุด ณ วันที่ 7 พ.ย. 60 บริษัททำยอดขายได้แล้ว 3.1 หมื่นล้านบาท และยังมีโครงการใหม่ที่เตรีมเปิดขายในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 7.8 พันล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 2 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ อีกทั้งยังมีการจัดงาน SANSIRI LIFE COMES HOME 2017 ระหว่างวันที่ 24-26 พ.ย. 60 ที่ชั้น 1 สยามพารากอน โดยตั้งเป้ายอดขายจากงานไว้ที่ 8 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนยอดขายให้สูงกว่าเป้าหมายได้ ส่วนรายได้ในปีนี้ยังคงมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ 3.4 หมื่นล้านบาท หลัง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 2.31 หมื่นล้านบาท
ภาพรวมแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 61 มองว่าจะมีความคึกคักมากขึ้น จากการเปิดโครงการต่างๆของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆในตลาด และการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นตลาด ประกอบกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่งผลต่อความมั่นใจที่ฟื้นตัวกลับมา ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลบวกไปด้วย และยังมองว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นปัจจัยสี่ที่มีความต้องการซื้ออยู่ในทุกช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้ตลาดยังมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 61 จะเติบโตได้ 10-15% สูงขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าเติบโต 5-10% โดยการเติบโตของตลาดจะมาจากกลุ่มตลาดระดับกลาง-บน เป็นปัจจัยผลักดันหลัก ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีโครงการรวมทั้งหมด 85 โครงการ มูลค่ารวม 1.57 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นมูลค่าสต็อกที่เหลือขายและพร้อมโอนราว 5.5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการในกรุงเทพฯ 70% และโครงการในต่างจังหวัด 30%