นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เด็มโก้ (DEMCO) เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯพร้อมเข้าร่วมประมูลของภาครัฐและเอกชนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะงานติดตั้งสายส่งและสถานีไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี จากมูลค่าของโครงการทั้งหมด ซึ่งจะทยอยออกภายในระยะเวลา 5 ปี (2560-2564) ไม่น้อยกว่า 50,000 – 60,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีงานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ทั้งงานก่อสร้างระบบสายส่ง และสถานีไฟฟ้า ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งมีมูลค่าโครงการราว 7,000-8,000 ล้านบาท งานระบบไฟฟ้าใต้ดิน 3,000-4,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีงานสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 48,000 ล้านบาท
“นอกเหนือจากงานของภาครัฐ DEMCO ยังมีงานเสาส่งโทรคมนาคมของภาคเอกชน ซึ่งผู้ประกอบการหลายค่ายได้เดินหน้าลงทุนเพื่อรองรับ 4 จี หลังจากที่ประมูลได้ในช่วงก่อนหน้า ที่คาดว่จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯ ให้ปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ จากปีที่ผ่านมา ประสบปัญหาขาดทุนกว่า 160.77 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายพิเศษ ในการปรับปรุงฐานกังหัน โครงการห้วยบง"
ขณะที่งานปรับปรุงฐานรากกังหันลมที่ห้วยบงถือว่ามีความคืบหน้าไปแล้ว 2 ใน 3 โดยในส่วนที่เหลือ 26 ฐาน อยู่ระหว่างรอการอนุญาตให้เข้าดำเนินการจากผู้ว่าจ้าง
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า การที่บริษัท เด็มโก้เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตเสาโครงเหล็กสำหรับสายส่งระบบ 500 kV ตามมาตรฐาน กฟผ. ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของผู้ผลิตในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนที่สำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นตาม
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 3/60 มีรายได้รวม 1,098.05 ล้านบาท ลดลง1,143.97 ล้านบาท หรือ 51.02% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 2,241.99 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 75.430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.89 ล้านบาท หรือ 65.64% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 45.54 ล้านบาท
โดยรายได้ที่ลดลงเป็นผลมาจากการส่งมอบงานโครงการพลังงานทดแทนขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม งานในปีนี้ของบริษัทนอกจากเป็นงานสถานีไฟฟ้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นแล้วบริษัทยังได้รับอานิสงส์จากการขยายการลงทุนเสาสายส่งของภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 3,600.79 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้และปี 61
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรก (สิ้นสุดเดือนกันยายน 2560) บริษัทฯมีรายได้รวม 3,282.67 ล้านบาท ลดลง 2,085.16 ล้านบาท หรือ 38.84% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,367.83 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 149.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.52% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 171.91 ล้านบาท