นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัท บีบีจีไอ จำกัด ซึ่งเกิดจากการควบรวมบริษัท ระหว่างบริษัท บีบีพี โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจชีวภาพของบริษัท และบริษัท เคเอสแอล จีไอ จำกัด ซึ่งบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจเอทานอลของ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปลายปี 61
ส่วนธุรกิจ Lithium Americas Corp. หรือ LAC ที่บริษัท บางจากฯ ถือหุ้นจำนวน 70,286,757 หุ้นนั้น ในช่วงไตรมาส 3 นี้มูลค่าหุ้นของ LAC ได้ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากลิเทียมเป็นที่ต้องการของธุรกิจพลังงานและธุรกิจยานยนต์ประเภทรถไฟฟ้า ในขณะที่กำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ
สำหรับผลการดำเนินงาน BCP ในงวด 9 เดือนแรกของปี 60 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 125,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 4,838 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 4,393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.19 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/60 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 39,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ 1,495 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 1,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวม 3,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.96 บาท
ด้านธุรกิจโรงกลั่น มีกำลังการผลิตเฉลี่ยในระดับสูงที่ 110,030 บาร์เรลต่อวัน และมีค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มี EBITDA 2,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 140% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนความคืบหน้าของการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นน้ำมันบางจากและการก่อสร้างหน่วยเพิ่มออกเทนเพื่อผลิตน้ำมันแก๊สโซลีน รวมทั้งโครงการปรับปรุงสเถียรภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย กำลังการผลิตและการดูแลสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามแผน
ธุรกิจการตลาด มีปริมาณจำหน่าย 1,417 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเข้าสู่ฤดูมรสุม มีฝนและเกิดปัญหาอุทกภัยในบางพื้นที่ ประกอบกับการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายผ่านตลาดค้าปลีกลดลงเล็กน้อย เนื่องจากประชาชนเดินทางลดลง แต่ยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของสถานีบริการ และรักษาอันดับที่ 2 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมี EBITDA 474 ล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 29% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าภายใต้ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) บริษัทย่อย มีรายได้ 854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีปริมาณจำหน่ายไฟฟ้ารวม 78.16 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการเปิดดำเนินการโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม ทั้งสิ้น 160 เมกะวัตต์ แต่ลดลง 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้ค่าความเข้มแสงเฉลี่ยของทุกโครงการที่ปรับลดลง มี EBITDA 781 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ BCPG ได้ดำเนินการชำระค่าหุ้นเป็นจำนวนเงิน 355.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11,956.43 ล้านบาท และได้รับโอนหุ้นของ Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าซื้อหุ้นในธุรกิจโรงงานไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) ในประเทศอินโดนีเซีย
ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีรายได้ 1,932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งปรับตัวดีขึ้นทั้งธุรกิจไบโอดีเซลและธุรกิจเชื้อเพลิงเอทานอล โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซล 1,653 ล้านบาท คิดเป็น EBITDA 68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 212% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 713% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และรายได้จากธุรกิจเชื้อเพลิงเอทานอล 279 ล้านบาท มี EBITDA 74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นเป็น 11.1 ล้านลิตรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 129,000 ลิตรต่อวัน คิดเป็นอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่ 86%
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีรายได้จากการขาย 336 ล้านบาท ลดลง 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มีปริมาณการจำหน่ายรวม 203,807 บาร์เรล เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยราคาขายเฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง เฉพาะแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Galoc มีกำลังการผลิตเฉลี่ย 3,858 บาร์เรลต่อวัน ปรับลดลงตาม Natural-Decline Production Curve รวมทั้งบริษัท NIDO มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมี EBITDA 44 ล้านบาท ลดลง 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 53 %เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ BCP ยังคงให้ความสำคัญของการสร้างคุณค่า ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องโดยนำนวัตกรรมมาขยายผล สร้างมูลค่าให้กับสินค้าวิสาหกิจชุมชน โดยบริษัท ออมสุข จำกัด นำข้าวอินทรีย์จากชาวนาในโครงการพุทธเศรษฐศาสตร์มาผลิตเป็นข้าวกล้องป๊อป เพื่อสมนาคุณแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ตั้งแต่วันที่ 1-25 ธ.ค.60 หรือจนกว่าของจะหมด และจะนำไปจำหน่ายในร้าน SPAR Supermarket ร้านกาแฟอินทนิลทั่วประเทศเพื่อส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน พร้อมทั้งสนับสนุนจัดทำโครงการนำร่องเกี่ยวกับแหล่งน้ำเพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างเพียงพอต่อการประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม และสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์