นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้น ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างปรับตัวขึ้นตามตลาดสหรัฐที่เมื่อคืนที่ผ่านมาดีดขึ้นค่อนข้างแรง ภายหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติให้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน ถือว่าเป็นข่าวดี แต่ก็ยังต้องรอการพิจารณาจากวุฒิสภาสหรัฐต่อไป ซึ่งก็คงจะนำมาใช้ไม่ทันในปีนี้ ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ 2 แห่ง ทั้งบริษัท วอลมาร์ท และบริษัท ซิสโก ซิสเต็มส์ ที่งบการเงินออกมาดีกว่าคาด
ส่วนราคาน้ำมันชะลอการลง และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ เนื่องจากมองแรงหนุนจากการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ส่วนบ้านเราก็น่าจะได้แรงหนุนจากงาน SET in the City ทำให้ช่วงนี้น่าจะมีเม็ดเงินจาก กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มาช่วยหนุนตลาดฯได้บ้าง
พร้อมให้แนวรับ 1,690-1,685 จุด ส่วนแนวต้าน 1,700-1,705 ถัดไป 1,710 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,458.36 จุด พุ่งขึ้น 187.08 จุด (+0.80%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,585.64 จุด เพิ่มขึ้น 21.02 จุด (+0.82%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,793.29 จุด เพิ่มขึ้น 87.08 จุด (+1.30%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 252.18 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.57 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 195.60 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 48.39 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 11.26 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 24.40 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.70 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 68.45 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 พ.ย.60) 1,691.25 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด (+0.06%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,863.08 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 55.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 พ.ย.60) ที่ 7.04 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.91 แนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง รับเม็ดเงินไหลเข้า มองกรอบวันนี้ 32.80-32.95
- ความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะมีการปรับเปลี่ยนกว่า 10 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่มีการลงตัวแล้ว อาทิ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ ขึ้นเป็น รมว.พาณิชย์ แทน นางอภิรดี ตันตราภรณ์ ที่จะหลุดจากตำแหน่ง พร้อมดึง น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.เกษตรและสหกรณ์ มาเป็น รมช.พาณิชย์
- รมว.อุตสาหกรรม กล่าวในงานสัมมนาบางกอกโพสต์ ฟอรัม 2017 ว่า บทบาทแต่ละประเทศภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลก มีทั้งความร่วมมือและการแข่งขัน ซึ่งการรวมตัวและร่วมมือของอาเซียน จะทำให้กลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีบทบาททางเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
- ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมการเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบใหม่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ช่วงปลายปี 2561 โดยการประมูลรอบใหม่นี้จะเป็นการเปิดให้สำรวจปิโตรเลียมทั้งบนบกและในทะเล จาก 29 แปลงที่เคยมีการลงพื้นที่สำรวจก่อนหน้านี้ โดยจะดำเนินการต่อจากการเปิดประมูลแหล่งก๊าซอ่าวไทย คือ เอราวัณและบงกช ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561
- สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ปี 2561 เห็นภาพชัดว่าเป็นทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็ง จากดอกเบี้ยที่สหรัฐจะปรับขึ้น แม้ว่าจะขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฉะนั้นแนวโน้มเงินบาทปีหน้าจะเป็นทิศทางอ่อนค่ากว่าปีนี้ แต่จะมีความผันผวนมากขึ้น เพราะหลายประเทศมีกำหนดการเลือกตั้ง เช่น อิตาลี กัมพูชา มาเลเซีย สหรัฐ และไทย ฉะนั้นผู้ส่งออกโดยเฉพาะเอสเอ็มอีต้องหาทางป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
- บาทแข็งค่ามากสุดในรอบ 34 เดือน ต่ำกว่า 33 บาท/ดอลลาร์ ผลจากดอลลาร์อ่อนค่าทำนักลงทุนขนเงินลงทุนเอเชีย ผู้ว่าฯธปท.ระบุอย่ากังวล ชี้ค่าเงินยังผันผวนต่อ แนะซื้อประกันความเสี่ยง ใช้ตระกูลเงินท้องถิ่นค้าขาย
*หุ้นเด่นวันนี้
- TACC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 7.70 บาท ราคาหุ้นที่พักตัวลงไม่สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่กำลังเร่งตัวขึ้น โดยถือเป็นหนึ่งในหุ้นเครื่องดื่มที่ไว้ใจได้มากสุด แม้กำไรสุทธิ Q3/60 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่จะเร่งตัวขึ้นใน Q4/60 โดยคาด 30 ล้านบาท +36% Q-Q, +3% Y-Y จากการออกสินค้าใหม่หนาแน่นปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า เช่น Hershey’s Freeze(เครื่องดื่มโถกดรสชาติโกโก้), Easy Dip(ซอสจิ้มจุ่ม), และ Sanrio ส่วนการร่วมมือกับ QJ จะมีการทำ Cross-Selling ทำให้สินค้าของ TACC กระจายไปจีนง่ายขึ้น คาดว่าจะเห็นผลชัดเจนปีหน้า คาดกำไรสุทธิปีนี้ +8% Y-Y และปีหน้า +23% Y-Y (ไม่รวม Upside จาก QJ)
- PPS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.50 บาท กำไร Q3/60 อยู่ที่ 18 ล้านบาท -10% Q-Q, +100% Y-Y จากการรับรู้รายได้ตามความคืบหน้าของงานก่อสร้าง และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 38.0% จาก 36.8% ใน Q2/60 และ 34.7% ใน Q3/59 กำไรสุทธิ 9M60 อยู่ที่ 52 ล้านบาท คิดเป็น 96% ของประมาณการเดิม จึงปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ขึ้นเป็น 66 ล้านบาท +106% Y-Y และคาด +9% Y-Y อยู่ที่ 72 ล้านบาทในปีหน้า แนวโน้ม Q4/60 ยังโตดีจากงานในมือที่มี 447 ล้านบาท
- HTECH (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 12.50 บาท ในไตรมาส 4 บริษัทขยายฐานการผลิต ส่งผลให้โดยรวมกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 30%YoY รองรับการเติบโตของรายได้สูงถึง 1,300 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 1,000 ล้านบาท)
- CPALL (ทรีนีตี้) "ซื้อ" เป้า 89 บาท ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในอนาคต ไตรมาส 4 เป็น High Season และแผนการขยายสาขาปีละ 700 สาขา มีความเป็นไปได้ รวมถึงได้ประโยชน์จากการ Synergy กับ MAKRO ในระยะยาว ส่วนการออก Perpetual Bond จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยลงตลอดปี สัดส่วน Net D/E ลดลงมาอยู่ที่ 1.62 เท่า จาก 2.84 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไม่เกิน 2 เท่าหลังปี 2561 ตามที่เกณฑ์กำหนด