นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บมจ.ไทยมุ้ย คอร์ปอเรชั่น (THMUI) เปิดเผยว่า การเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย.ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมากตั้งแต่วันแรก เชื่อว่าเป็นผลจากนักลงทุนเข้าใจในธุรกิจ และมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจลวดสลิงและอุปกรณ์ยกหิ้ว ว่าเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นและใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม และมีแนวโน้มการเติบโตตามภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
THMUI เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 97.07 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถเพิ่มสินค้าและทีมบริการ ตอบโจทย์ลูกค้ารายเดิม และขยายฐานลูกค้ารายใหม่
ขณะที่การกำหนดราคา 2.55 บาทเป็นระดับราคาที่เหมาะสม จากความปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่ดี มีอนาคต และความสามารถในการทำกำไรในระดับสูง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 40% จึงมั่นใจว่า THMUI จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเข้าทำการซื้อขายวันแรกได้อย่างประทับใจ
“นักลงทุนให้ความสนใจและสร้างความคึกคักตั้งแต่เปิดจองวันแรก สะท้อนความเชื่อมั่นที่ได้รับจากนักลงทุน จนทำให้หุ้นไอพีโอของบริษัท 97.07 ล้านหุ้นขายหมดเกลี้ยงทั้งจำนวน และด้วยโอกาสในการเติบโตหลังนำเงินที่ได้จากการระดมทุนขยายธุรกิจ รับอานิงสงส์จากการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ของภาครัฐบาลและเอกชน ทั้งแผนงานก่อสร้าง แผนการลงทุนตามแผนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และเฟส 4 เป็นต้น ทำให้อุปสงค์ลวดสลิงและอุปกรณ์ยกหิ้วที่มีคุณภาพเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงโอกาสในการขยายสินค้าไลน์ใหม่ๆ เข้าไปเพิ่มเติมได้อีก"นายรัฐชัย กล่าว
นายทชากร ลีลาประชากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THMUI เชื่อว่า เป็นเพราะการกำหนดราคาไอพีโอที่ 2.55 บาท/หุ้น เป็นระดับราคาที่เหมาะสม โดย THMUI เป็นผู้จำหน่ายลวดสลิงและอุปกรณ์ยกหิ้วที่มีคุณภาพสูงจากแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของบริษัทฯ ว่าจะสามารถตอบโจทย์ทั้งด้านการใช้งาน และบริการอย่างครบวงจร มีความความปลอดภัย รวมถึงลดการสูญเสียในระหว่างการทำงานได้
เงินที่ได้จากการระดมทุน ราว 247.53 ล้านบาท จะนำไปใช้เงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 147.53 ล้านบาท ซื้อเครื่องทดสอบแรงดึงขนาดใหญ่ 10 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้เงินภายในปี 2561 โครงการก่อสร้างโกดังสินค้า 30 ล้านบาท ระหว่างปี 61-62 และ จ่ายคืนตั๋ว B/E จำนวน 60 ล้านบาทภายในปี 60 โดยเชื่อมั่นว่าหลังจากบริษัทเพิ่มสินค้าและทีมบริการ รวมทั้งติดตั้งเครื่องทดสอบแรงดึงขนาดใหญ่แล้วเสร็จจะเป็นโอกาสให้บริษัทเพิ่มยอดขายได้แข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งขึ้น
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 310.61 ล้านบาท เติบโต 25.33% จากงวดเดียวกันของปี 59 อยู่ที่ 247.83 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 120.82 ล้านบาท เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 100.46 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 24.69 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน 5.19 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 376.97% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 38.90% อัตรากำไรสุทธิ 7.90%
ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการไปยังกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้นตามกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยลวดสลิงคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของยอดขายทั้งหมด กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรมในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มยานยนต์ กลุ่มเหล็ก เป็นต้น มีสัดส่วนรายได้ 30.57% กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 17.24% กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 9.47% และกลุ่มท่าเรือ 6.58% ของรายได้จากการขายทั้งหมด
ส่วนผลการดำเนินงานปี 59 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 356.74 ล้านบาทตามลำดับ กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 146.17 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 18.92 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 40.97% อัตรากำไรสุทธิ 5.29%