"การเข้าลงทุนในครั้งนี้ด้วยจุดประสงค์ที่ว่าเป็นการหารายได้จากช่องทางใหม่ๆ เพื่อสร้างผลกำไรที่ดีให้แก่บริษัทฯเพิ่มเติม กระจายความเสี่ยง และมีรายได้ที่ยั่งยืน ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้เป็นเหมือนการเข้าซื้อกิจการนั่นเหละ แต่เราปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ง่ายขึ้น โดยการเพิ่มทุนให้กับผู้บริษัทเดิมเข้ามาถือหุ้นใน BSM และเข้ามาทำงานในบริษัทย่อยที่เราตั้งขึ้นใหม่ เพื่อที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง"นายสัญชัย กล่าว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการ BSM อนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท ทีค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด โดย BSM ถือหุ้น 99.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เพื่อเข้าซื้อโครงการ The Teak Sukhumvit 39 มูลค่า 145 ล้านบาท
พร้อมทั้งเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 2 ล้านหุ้น และติดระยะเวลาห้ามขาย (ไซเลนต์ พีเรียด) 2 ปี ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.65 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท) รวมเป็นเงินระดมทุน 130 ล้านบาท กำหนดวันเสนอขายหุ้น PP ในวันที่ 15 ม.ค.61 โดยจะมีการเสนอเข้าที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 10 ม.ค.61 และส่วนที่เหลืออีก 15 ล้านบาท จะมาจากเงินทุนของบริษัทฯ ซึ่งการดำเนินการต่างๆจะแล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค. 61
นายสัญชัย กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะเริ่มก่อสร้างในเดือน ม.ค. 61 พร้อมคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนในช่วงปลายปี 61 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษ้ทตั้งเป้ารายได้ในปีหน้าสูงขึ้นไปแตะระดับ 700 ล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจเดิม ซึ่งเป็นการผลิตและจำหน่ายอลูมิเนียม อัลลอย รวมทั้งประตูและหน้าต่าง 600 ล้านบาท และรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ The Teak Sukhumvit 39 ราว 100 ล้านบาท
ส่วนในปีนี้กำไรสุทธิของบริษัทฯจะทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างแน่นอน หลัง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯมีกำไรสุทธิ 35.97 ล้านบาท ซึ่งถือว่าทำสถติสูงสุดใหม่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้กำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โครงการ "Sansara" ที่มีทั้งหมด 6 หลัง โดยปัจจุบันขายไปแล้ว 6 หลัง
ในส่วนของรายได้ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตจากปีก่อนไม่มากนัก เนื่องจากการขายสิทธิสัญญาเช่าของโครงการ "Sansara" ไม่มีการบรรทึกรายได้ แต่เป็นเพียงการบันทึกกำไรเท่านั้น โดยทิศทางในช่วงไตรมาส 4/60 นี้รายได้จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ และงานโครงการบ้าน ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างติดตามงานอยู่ 800 โครงการ มูลค่า 160 ล้านบาท และจะทยอยรู้ผลโครงการภายใน 3-6 เดือน
"ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวมาก กำลังซื้อก็ไม่มาก เราจะเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักออกแบบที่มีความสัมพันธ์ที่ดี ชอบสินค้าที่มีดีไซน์ และในกลุ่มรับเหมา ในขณะเดียวกันยังเน้นเรื่องของทีมขาย ประสิทธิภาพของโปรแกรมที่ช่วยการขายได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่อง"นายสัญชัย กล่าว