นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up เนื่องจากเศรษฐกิจไทยดี โดยดูจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) งวดไตรมาส 3/60 ที่ออกมาดีกว่าตลาดคาดไว้ อีกทั้งเชื่อว่าเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) น่าจะเข้ามาต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติได้ชะลอการขาย หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างอยู่ในแดนบวกกันทั่วหน้า นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าหลังเงินดอลลาร์สหรัฐฯเช้านี้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง อันเป็นผลจากเงินยูโรอ่อนค่า จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในเยอรมนี ที่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะต้องติดตามคืนนี้เป็นถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยให้รอดูทิศทางนโยบายดอกเบี้ย และแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นอกจากนี้ให้ติดตามการเมืองในเยอรมนีต่อไปด้วย รวมถึงแผนการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ที่วุฒิสภาจะพิจารณาในสัปดาห์นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,710-1,712 จุด ส่วนแนวต้าน 1,720-1,726 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,430.33 จุด เพิ่มขึ้น 72.09 จุด (+0.31%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,582.14 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด (+0.13%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,790.71 จุด เพิ่มขึ้น 7.92 จุด (+0.12%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 195.03 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.04 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 109.38 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 23.67 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.18 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.57 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.47 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 17.83 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 พ.ย.60) 1,714.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.00 จุด (+0.29%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 371.57 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 56.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 พ.ย.60) ที่ 7.18 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.85/86 แนวโน้มวันนี้อ่อนค่าตามยูโรจากความกังวลสถานการณ์การเมืองในเยอรมนี
- สศช.เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 โต 4.3% สูงสุดรอบ 18 ไตรมาส อานิสงส์ส่งออกขยายตัว 12.5% พร้อมปรับ คาดการณ์ "จีดีพี" ปีนี้เป็น 3.9% เชื่อปีหน้า โตแตะ 4% ด้าน "สมคิด" เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นหวังฐานรากแข็งแรง ขณะธปท.จ่อปรับคาดการณ์ปีนี้เพิ่ม ด้านนักวิเคราะห์ชี้โตเกินคาด มองการบริโภคเริ่มฟื้นหนุนภาพรวมดีขึ้น
- สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ได้ประกาศรายการสินค้าที่อาจจะถูกปลดออกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) จำนวน 11 รายการ เนื่องจากมีระดับมูลค่าการนำเข้าใน ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) 2560 เกินกว่าเพดานที่สหรัฐกำหนด และเปิดโอกาสให้แหล่งนำเข้าสินค้าดังกล่าวยื่นเรื่องขอให้พิจารณาขอบเขตจำกัดความจำเป็นต้องได้รับที่เป็นด้านการแข่งขัน (Competitive Need Limitations) ภายในวันที่ 5 ธ.ค.2560 นี้
- ตลาดหลักทรัพย์ เร่งเจาะฐาน นักลงทุนต่างชาติ เน้นกลุ่มประเทศที่ลงทุนไทยน้อย หวังเพิ่มสัดส่วน เน้นสร้างความรู้จักดึงเข้าไอพีโอ แจงสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยสมดุล ขณะที่การซื้อขายโกลด์ดีที่เริ่มเปิดซื้อขาย ได้รับการตอบรับดีแจงมาตรการภาษีหนุน
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 เป็นเติบโต 3.8% จากเดิมที่ 3.6% หลังจากรายงานตัวเลขจีดีพีของไทยไตรมาส 3 ปี 2560 ของ สศช. ที่ขยายตัวที่ 4.3% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า หรือเติบโต 1.0% หากเทียบกับไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล ทำให้ GDP ของไทยในช่วง 9 เดือนแรกขยายตัวได้ที่ 3.8%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ดีเกินคาดอย่างต่อเนื่อง ช่วยหนุนการส่งออกสินค้าให้เติบโตได้ต่อในช่วงที่เหลือของปี โดยเศรษฐกิจคู่ค้าหลักทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน ที่มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลอดจนปีหน้า
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือน ต.ค. 2560 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 1.83 แสนล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 4.28 แสนล้านบาท รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 4.06 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2560 มี 3.04 แสนล้านบาท
- ต่างชาติขนเงินเข้าไทยแล้ว 2.89 แสนล้านบาท คาดสิ้นปีทะลัก 3 แสนล้านบาท ดัน'บาท'แข็งโป๊ก สูงสุดรอบ 30 เดือน ยังไร้แววปัจจัยกดอ่อนค่า เหตุเศรษฐกิจ-ส่งออกดี ปีหน้ามีเลือกตั้ง ลุ้น กฎหมายภาษีใหม่สหรัฐ 27 พ.ย.นี้ หากไม่ผ่าน ได้เห็น 32.50 บาท/ดอลล์ ธปท.ยังนิ่งปล่อยตามกลไกตลาด
*หุ้นเด่นวันนี้
- CENTEL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 54 บาท ปรับกำไรปี 2561 ขึ้น 5% หลังจาก CENTEL ชนะประมูลสิทธิการเช่าโรงแรมและศูนย์ประชุมที่ศูนย์ราชการเป็นเวลา 20 ปีเข้าในประมาณการ ทำให้กำไรปี 2561 โต 15% Y-Y เติบโตสูงกว่าเดิมที่คาด +9% Y-Y ส่วนกำไรปี 2560 คงประมาณการเดิมที่คาด +10% Y-Y โดยแนวโน้ม Q4/60 ได้รับอานิสงส์จาก High season ของธุรกิจโรงแรมและอาหาร และยิ่งได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปช่วยชาติ
- WICE (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) เป้า 6.10 บาท ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่าง จีน,ฮ่องกง,สหรัฐอเมริกา (ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 28% ของการค้าประเทศไทย) ฟื้นตัวส่งผลบวกทางอ้อมต่อการนำเข้า-ส่งออกสินค้ากับประเทศไทยโดยมองว่าหุ้น Logistic อย่าง Freight fowarder จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากเรื่องนี้ พร้อมปรับประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้น 11% จากการรวมธุรกิจ UWT (Freight fowarder ที่ประเทศฮ่องกง,จีน) ในขณะที่สินค้าหลักอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (คิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 43% ของบริษัท) ยังคงเป็นพระเอกของการส่งออกไทย ส่งผลให้มองว่าทิศทางธุรกิจของ WICE ยังคงสดใสต่อ ทำให้คาดกำไรปี 2561 ใหม่ที่ 151 ล้านบาท เติบโต 32%YoY สะท้อน PEG 0.68x เทียบเท่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม
- BANPU (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 23 บาท ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของธุรกิจถ่านหิน โดยตลาดเอเซียแปซิฟิค ยังคงถูกคาดหมายว่าการเติบโตของความต้องการใช้ถ่านหินยังคงอยู่ในระดับสูง และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังผลิตใหม่ ทำให้ปัจจุบันราคาถ่านหินในภูมิภาคยังปรับเพิ่มต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน มุมมองต่อราคาถ่านหินที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ BANPU ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน