บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 140 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 8 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 22-24 พ.ย.และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ มี บล.เคที ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
JKN และบริษัทย่อยประกอบธุรกิจใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) ให้บริการและจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ให้ผู้ประกอบธุรกิจสื่อทั้งในและต่างประเทศ เช่น สื่อโทรทัศน์ทุกระบบ สื่อออนไลน์ (Video On Demand :VOD) และผู้ประกอบการธุรกิจโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (Home Entertainment) เป็นต้น (2) ธุรกิจให้บริการเวลาเพื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์สินค้าทางสถานีโทรทัศน์ระบบผ่านดาวเทียม (Satellite) และสถานีโทรทัศน์ระบบดิจิตอลซึ่งซื้อจากสถานีโทรทัศน์ระบบดิจิตอล และ (3) ธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ อาทิ สินค้าประเภท Home Entertainment (DVD, Blu-ray)
นายคมกฤต มีคำสัตย์ Senior Vice President บล.เคที ซีมิโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังทำการสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีราคาเสนอขายที่ 7.80-8 บาทต่อหุ้น พบว่านักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อหุ้นที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 8 บาท ซึ่งมีความต้องการซื้อคิดเป็น 8 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบันทั้งสิ้น 35% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขาย ที่เหลือเป็นการจัดสรรให้แก่นักลงทุนรายย่อย 52% และผู้มีอุปการคุณ 13%
JKN มีทุนจดทะเบียนจำนวน 270 ล้านบาท แบ่งเป็น 540 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น โดยมีทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้วจำนวน 200 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 140 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจเกี่ยวข้องกับธุรกิจให้บริการและจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและใช้สำหรับการดำเนินการทั่วไป และเพื่อลงทุนหรือขยายธุรกิจของบริษัทย่อย ส่วนที่เหลือจะชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินและ/หรือชำระคืนหนี้หุ้นกู้
นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ JKN กล่าวว่า บริษัทมีจุดแข็งด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่จำหน่ายหลายรายการเป็นสิทธิ์แบบ Output Deal จากเจ้าของสิทธิ์ ทำให้ในระหว่างได้รับสิทธิ์นั้น JKN มีสิทธิ์เลือกคอนเทนต์จากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อนเป็นบริษัทแรก และมีโอกาสขยายธุรกิจไปในประเทศใกล้เคียงจากสิทธิ์บางส่วน ที่ครอบคลุมการจำหน่ายคอนเทนต์ในประเทศใกล้เคียง เช่น สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นอกจากนี้ คอนเทนต์ที่ JKN ถือลิขสิทธิ์ยังได้รับประโยชน์จากการวิวัฒนาการของช่องทางการสื่อใหม่ ๆ เช่น สื่อออนไลน์ อีกทั้งไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจากวีดีโอเทปเป็นแผ่นซีดีอีกด้วย ทำให้ JKN เปรียบเสมือนเป็นศูนย์รวมความหลากหลายของคอนเทนต์เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของสื่อแต่ละช่องทางได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 60 บริษัทมีรายได้รวม 873.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ค่าสิทธิ์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 95.24% ของรายได้รวมในงวด 9 เดือนปี 60 ในส่วนของกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนปี 60 เท่ากับ 176.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 59 เท่ากับ 39.96 ล้านบาท
ในปี 59 บริษัทยังได้รับสิทธิจาก National Broadcasting Company Universal (NBC) เพื่อซื้อและผลิตคอนเทนต์ภายใต้แบรนด์ Consumer News and Business Channel (CNBC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายการเกี่ยวกับข่าวธุรกิจและการลงทุนที่มีชื่อเสียงของโลก โดยสัญญามีระยะเวลา 10 ปี (ปี 60-70) ทั้งนี้ สิทธิ์ที่ได้รับแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ในส่วนแรก ตั้งแต่ปี 2560-2570 บริษัทได้รับสิทธิในการนำเสนอคอนเทนต์รายการภายใต้แบรนด์ CNBC ที่ผลิตและออกอากาศในต่างประเทศมาทำการตัดต่อ แปล และพากษ์เสียงภาษาไทยสำหรับจำหน่ายต่อผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์เพื่อออกอากาศในประเทศไทย โดยได้เริ่มจำหน่ายคอนเทนต์รายการภายใต้แบรนด์ CNBC ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจสถานีโทรทัศน์แบบดิจิตอล เช่น ช่อง 3 และ Bright TV ตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ส่วนที่ 2 ในช่วงปี 62-70 บริษัทได้รับสิทธิในการผลิตรายการที่มีโครงสร้างรูปแบบรายการตามรายการของแบรนด์ CNBC โดยใช้พิธีกรและผู้ดำเนินรายการคนไทยในการผลิตรายการเกี่ยวกับข่าวธุรกิจและการลงทุนเพื่อออกอากาศในช่อง JKN CNBC ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท เจเคเอ็น นิวส์ จำกัด โดยในระหว่างการเตรียมดำเนินการดังกล่าว ทาง CNBC ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่มาฝึกอบรมให้แก่ทีมงาน เพื่อผลิตรายการให้ได้คุณภาพเท่าเทียมกับมาตรฐานสากลของ CNBC โดยบริษัทจะลงทุนสร้างห้อง Master Control Room (MCR) ซึ่งเป็นห้องสำหรับการออกอากาศและลงทุนในอุปกรณ์ออกอากาศและผลิตรายการอีกด้วย
“เราเชื่อมั่นว่าด้วยวิสัยทัศน์เป็นผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล และนำเข้าคอนเทนต์ชั้นนำจากต่างประเทศเพื่อเผยแพร่ในไทยและกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึงเป็นผู้ผลิตและถือครองลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่มีคุณภาพเพื่อจำหน่ายและเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งแผนงานในอนาคตที่เราจะผลิตรายการภายใต้แบรนด์ CNBC จะเป็นแรงผลักดันที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทต่อไปได้อย่างยั่งยืน"นายจักรพงษ์ กล่าว