ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง (ECL) ที่ระดับ “BBB-" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงประวัติการดำเนินธุรกิจของผู้บริหารของบริษัทในการให้บริการสินเชื่อรถยนต์ที่เป็นที่ยอมรับ ตลอดจนผลกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และฐานทุนที่แข็งแรง
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากการกระจุกตัวของเครือข่ายสาขาและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ในขณะเดียวกันส่วนแบ่งทางการตลาดในส่วนของสินเชื่อคงค้างของบริษัทก็อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ความสำเร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อของบริษัทอีกด้วย กล่าวคือ บริษัทยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความมีเสถียรภาพในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งรักษาผลประกอบการทางการเงินให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ECL ก่อตั้งในปี 2527 โดยกลุ่มตระกูลวีระพงษ์และตระกูลตันตราภรณ์และได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2547 บริษัทมีประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วและสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการเต็นท์รถยนต์มือสอง (หรือสินเชื่อ Floor Plan) มาตั้งแต่ปีก่อตั้ง ณ เดือนกันยายน 2560 ตระกูลวีระพงษ์และตระกูลตันตราภรณ์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ในสัดส่วน 32.3% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ตามด้วย Premium Financial Services Co., Ltd. (PFS) ซึ่งถือหุ้น 25.5%
ทั้งนี้ PFS เป็นผู้ให้บริการด้านสินเชื่อรถยนต์และรับประกันชิ้นส่วนรถยนต์มือสองในประเทศญี่ปุ่น ความรู้ความชำนาญและการสนับสนุนจาก PFS จะช่วยปรับปรุงระบบการทำงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและมีแหล่งรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงยานยนต์มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของธุรกิจใหม่ดังกล่าวยังเป็นสิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์ความสำเร็จต่อไป
ยอดสินเชื่อรถคงค้างของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 837 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2552 เป็น 1,883 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 คิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14% สินเชื่อใหม่ประเภทหนึ่งของบริษัทคือสินเชื่อรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (บิ๊กไบค์) นั้นเติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลให้ยอดสินเชื่อรถคงค้างของบริษัทเติบโต 30% หรือคิดเป็น 2,457 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมียอดสินเชื่อรถคงค้างเติบโต 50% จากสิ้นปีก่อนหน้า หรือเท่ากับ 3,653 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ในสัดส่วน 54% รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ในสัดส่วน 35% รถบรรทุกและรถประเภทอื่น ๆ ในสัดส่วน 10% และสินเชื่อ Floor Plan อีก 1% พื้นที่การให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถของบริษัทค่อนข้างกระจุกตัวเมื่อเทียบกับคู่แข่งโดยบริษัทให้บริการที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ และสาขาอีกเพียง 4 สาขาในเขตปริมณฑลและภาคตะวันออกเท่านั้น
ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงในช่วงปี 2556-2557 โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1.96% ในปี 2555 เป็น 2.58% ในปี 2556 และเป็น 4.01% ในปี 2557 การตัดหนี้สูญของบริษัทในช่วงปี 2558 ช่วยลดอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมให้ลงมาอยู่ที่ 3.29% ณ สิ้นปี 2558 อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นมาอีกที่ระดับ 3.42% ณ สิ้นปี 2559 แต่ก็ปรับตัวดีขึ้นเป็น 2.40% ณ เดือนกันยายน 2560 คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นมีผลบางส่วนมาจากการเติบโตอย่างมากของสินเชื่อรวมของบริษัท ในขณะที่การขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อในกลุ่มรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่นั้นยังต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
บริษัทตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยสัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) อยู่ที่ประมาณ 31% ณ เดือนกันยายน 2560 เทียบกับอัตราส่วนโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 50% ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทเป็นอัตราที่ไม่มากพอที่จะทำให้บริษัทสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนในทางลบจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ฐานทุนที่แข็งแรงของบริษัทถือว่ามีเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงดังกล่าวได้ในระดับหนึ่ง
ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ผลกำไรที่ดีขึ้นมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงและความสำเร็จในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีกำไรสุทธิปีละประมาณ 50 ล้านบาทในระหว่างปี 2556-2558 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 68 ล้านบาทในปี 2559 (ไม่รวมผลขาดทุนจากการจำหน่ายหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาดให้แก่ PFS จำนวน 42.75 ล้านบาท) และ 103 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 หรือเพิ่มขึ้น 106% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นโดยตลอดจาก 2.5% ในปี 2556 เป็น 4.3% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 11.1% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถดูแลให้ต้นทุนทางการเงิน ตลอดจนคุณภาพสินทรัพย์ และต้นทุนในการดำเนินงานอยู่ภายใต้การควบคุมเพื่อให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป
ฐานทุนของบริษัทมีความแข็งแรงขึ้นจากการเพิ่มทุนจำนวน 313.5 ล้านบาทในเดือนพฤษภาคม 2559 ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 1,104 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 โดยเพิ่มขึ้น 50% จาก 736 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 43.4% ณ สิ้นปี 2559 จาก 37.7% ณ สิ้นปี 2558
การเติบโตอย่างมากของสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมาซึ่งอาศัยแหล่งเงินทุนจากภายนอกนั้นส่งผลให้อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงเป็น 35.6% ณ เดือนกันยายน 2560 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.81 เท่า ณ เดือนกันยายน 2560 ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิที่ต้องไม่เกิน 3 เท่า ปัจจุบันบริษัทมีฐานทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเพียงพอต่อการขยายสินเชื่อในระยะกลาง ในขณะที่ฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทที่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการชำระหนี้ที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบของภาวะเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
ทริสเรทติ้งยังหวังว่าบริษัทจะสามารถดำรงฐานทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม การขยายฐานสินเชื่อในเชิงรุกจะเป็นความท้าทายที่สำคัญของบริษัท ทั้งนี้ เนื่องจากวงเงินกู้ยืมที่บริษัทมีกับธนาคารได้รับการค้ำประกันโดยการโอนสิทธิลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อบางส่วนไว้จึงทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินน้อยกว่าคู่แข่งรายสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดและมีผลประกอบการทางการเงินที่แน่นอนและมั่นคงไปพร้อมกับการรักษาฐานทุนให้แข็งแกร่งเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ด้วย
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตมีข้อจำกัดในระยะกลางจากการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อของบริษัทเมื่อไม่นานมานี้โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแรงขึ้นจากการเพิ่มรายได้จากบริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงยานยนต์ ในทางกลับกัน สถานะเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจส่งผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรและฐานทุนของบริษัทถดถอยลง